Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

14 กรกฎาคม 2558 กสทช. และตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นตรงกัน ผลักดันให้ใช้เป็นหมายเลขเดียวสำหรับโทร.แจ้งเหตุฉุกเฉิน

ประเด็นหลัก




       ที่ผ่านมา กสทช.ได้หารือร่วมกับ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นตรงกัน และพร้อมผลักดันให้ใช้เป็นหมายเลขเดียวสำหรับโทร.แจ้งเหตุฉุกเฉิน ซึ่งเดิมมีนโยบายจะจัดตั้งให้หมายเลข 112 เป็นเบอร์ฉุกเฉินแห่งชาติ แต่อาจต้องมีการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เมื่อเทียบแล้วการลงทุนต่อยอดจากหมายเลข 191 จะเหมาะสมกว่า อีกทั้งหมายเลข 191 ยังเป็นเบอร์ที่ประชาชนคุ้นชิน และมีสถิติการโทร.เข้ามาสูงสุดเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งขณะนี้ สตช.มีบุคลากรสำหรับให้บริการคอลเซ็นเตอร์อยู่ทั่วประเทศกว่า 1,800 คน ซึ่งหลังจากพัฒนาให้เป็นเบอร์ฉุกเฉินแห่งชาติแล้ว ก็จะเพิ่มพนักงานให้มากขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานของประชาชน
   
       “กสทช.จะช่วยทางรัฐบาล และ สตช.เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ ซึ่งสถิติการแจ้งเหตุผ่านหมายเลขฉุกเฉิน พบว่า มีประชาชนโทร.มาแจ้งเหตุฉุกเฉินในเบอร์สายด่วนของหน่วยงานอื่นๆ ที่มีมากกว่า 30 เลขหมาย รวมกัน 500,000 รายต่อวัน ในขณะที่หมายเลข 191 มีสถิติการแจ้งเหตุฉุกเฉินกว่า 1.1 ล้านรายต่อวัน และต่อไปไม่ว่าประชาชนจะแจ้งเหตุฉุกเฉินเรื่องใดๆ ก็ตามให้นึกถึงเพียง 191 เท่านั้น ระบบก็จะทำหน้าที่ประสานงานไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทันที'
   
       นอกจากนี้ กสทช.และ สตช.ได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาที่มีการโทร.ก่อกวน โดยผู้ที่โทร.มาก่อกวนจะถูกตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ประกอบกับการลงทะเบียนซิมการ์ดจะช่วยให้หาตัวผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น หรือหากใช้โทรศัพท์สาธารณะก็สามารถหาพิกัดของโทรศัพท์นั้น และดูภาพจากกล้องวงจรปิดได้








____________________________________




ครม.รับลูก กสทช.ดันใช้ 191 เบอร์ฉุกเฉินแห่งชาติ



        กสทช.ดัน 191 เป็นเบอร์ฉุกเฉินแห่งชาติ เข้า ครม. คาดใช้งบจาก กทปส. ประมาณ 400-500 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน ชี้ประชาชนโทร.เข้า 191 วันละล้านราย เนื่องจากจดจำง่าย
     
       นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 7 ก.ค.นี้ น่าจะมีการอนุมัติให้หมายเลข 191 เป็นเบอร์ฉุกเฉินแห่งชาติ หลังจากที่การประชุม ครม.สัญจรที่ผ่านมาไม่สามารถบรรจุวาระได้ทัน แต่ในเบื้องต้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบแล้ว ซึ่งการผลักดันให้เบอร์ 191 เป็นเบอร์ฉุกเฉินแห่งชาตินั้น รัฐบาลมีความพยายามให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณที่ 400-500 ล้านบาท ที่มาจากเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)
     
       ที่ผ่านมา กสทช.ได้หารือร่วมกับ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และตัวแทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีความเห็นตรงกัน และพร้อมผลักดันให้ใช้เป็นหมายเลขเดียวสำหรับโทร.แจ้งเหตุฉุกเฉิน ซึ่งเดิมมีนโยบายจะจัดตั้งให้หมายเลข 112 เป็นเบอร์ฉุกเฉินแห่งชาติ แต่อาจต้องมีการลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท เมื่อเทียบแล้วการลงทุนต่อยอดจากหมายเลข 191 จะเหมาะสมกว่า อีกทั้งหมายเลข 191 ยังเป็นเบอร์ที่ประชาชนคุ้นชิน และมีสถิติการโทร.เข้ามาสูงสุดเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งขณะนี้ สตช.มีบุคลากรสำหรับให้บริการคอลเซ็นเตอร์อยู่ทั่วประเทศกว่า 1,800 คน ซึ่งหลังจากพัฒนาให้เป็นเบอร์ฉุกเฉินแห่งชาติแล้ว ก็จะเพิ่มพนักงานให้มากขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานของประชาชน
     
       “กสทช.จะช่วยทางรัฐบาล และ สตช.เร่งประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ ซึ่งสถิติการแจ้งเหตุผ่านหมายเลขฉุกเฉิน พบว่า มีประชาชนโทร.มาแจ้งเหตุฉุกเฉินในเบอร์สายด่วนของหน่วยงานอื่นๆ ที่มีมากกว่า 30 เลขหมาย รวมกัน 500,000 รายต่อวัน ในขณะที่หมายเลข 191 มีสถิติการแจ้งเหตุฉุกเฉินกว่า 1.1 ล้านรายต่อวัน และต่อไปไม่ว่าประชาชนจะแจ้งเหตุฉุกเฉินเรื่องใดๆ ก็ตามให้นึกถึงเพียง 191 เท่านั้น ระบบก็จะทำหน้าที่ประสานงานไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทันที'
     
       นอกจากนี้ กสทช.และ สตช.ได้หาแนวทางแก้ไขปัญหาที่มีการโทร.ก่อกวน โดยผู้ที่โทร.มาก่อกวนจะถูกตั้งข้อหาแจ้งความเท็จ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ประกอบกับการลงทะเบียนซิมการ์ดจะช่วยให้หาตัวผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น หรือหากใช้โทรศัพท์สาธารณะก็สามารถหาพิกัดของโทรศัพท์นั้น และดูภาพจากกล้องวงจรปิดได้

http://www.manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9580000076306&utm_source=MadMimi&utm_medium=email&utm_content=Manager+Morning+Brief+8-7-58&utm_campaign=20150707_m126486867_Manager+Morning+Brief+8-7-58&utm_term=_E0_B8_84_E0_B8_A3_E0_B8_A1__E0_B8_A3_E0_B8_B1_E0_B8_9A_E0_B8_A5_E0_B8_B9_E0_B8_81+_E0_B8_81_E0_B8_AA_E0_B8_97_E0_B8_8A__E0_B8_94_E0_B8_B1_E0_B8_99_E0_B9_83_E0_B8_8A_E0_B9_89+191+_E0_B9_80_E0_B8_9A_E0_B8_AD_E0_B8_A3_E0_B9_8C_E0_B8_89_E0_B8_B8_E0_B8_81_E0_

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.