Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

30 มิถุนายน 2559 ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น พบว่า มีรายได้กว่า 300 ล้านบาทและมีค่าใช้จ่าย 400 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานยังไม่สามารถทำกำไร

ประเด็นหลัก
นายวรการ ศรีนวลนัด กรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไปรษณีย์ ก่อตั้งเมื่อปี 2558 เปิดเผยผลประกอบการในปี 2558 ที่ผ่านมา พบว่า มีรายได้กว่า 300 ล้านบาทและมีค่าใช้จ่าย 400 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานยังไม่สามารถทำกำไร เนื่องจากในปีที่ผ่านมา บริษัท ลงทุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและซอฟต์แวร์ อาทิ ระบบการบริหารจัดการคลังสินค้า “Warehouse Management WMS” ระบบการควบคุมออกแบบบริหารจัดการเส้นทางการขนส่ง ระบบ (Transportation TMS) จึงทำให้ขาดทุนราว 100 ล้านบาท จากเงินลงทุนที่บริษัท ลงไปราว 350 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีคาดว่าในปี 2559 จะมีรายได้เติบโตราว 60% หรือมีรายได้คิดเป็น 480 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายให้ไม่เกินรายรับที่ได้ โดยสัดส่วนรายได้หลักราว 80% จากกลุ่มยาและเวชภัณฑ์และอีกราว 10-12% จากกลุ่มค้าปลีกและอี-คอมเมิร์ซ และอีก 10% จากคลังสินค้า พร้อมคาดว่าในปีหน้าบริษัท จะทำกำไรได้ราว 30-40% โดยกลุ่มยาและเวชภัณฑ์เติบโตทุกปีราว 15% และคาดว่าในอนาคตกลุ่มลูกค้าอี-คอมมิร์ซจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันตลาดยาและเวชภัณฑ์มีมูลค่ารวม 1.5 แสนล้านบาท และศูนย์กลางโลจิสติกส์ตลาดยาเติบโตราว 10% คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านบาท
______________________________________________ นายวรการ ศรีนวลนัด กรรมการผู้จัดการบริษัท ไปรษณีย์ไทยดิสทริบิวชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือไปรษณีย์ ก่อตั้งเมื่อปี 2558 เปิดเผยผลประกอบการในปี 2558 ที่ผ่านมา พบว่า มีรายได้กว่า 300 ล้านบาทและมีค่าใช้จ่าย 400 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานยังไม่สามารถทำกำไร เนื่องจากในปีที่ผ่านมา บริษัท ลงทุนระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและซอฟต์แวร์ อาทิ ระบบการบริหารจัดการคลังสินค้า “Warehouse Management WMS” ระบบการควบคุมออกแบบบริหารจัดการเส้นทางการขนส่ง ระบบ (Transportation TMS) จึงทำให้ขาดทุนราว 100 ล้านบาท จากเงินลงทุนที่บริษัท ลงไปราว 350 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีคาดว่าในปี 2559 จะมีรายได้เติบโตราว 60% หรือมีรายได้คิดเป็น 480 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทควบคุมค่าใช้จ่ายให้ไม่เกินรายรับที่ได้ โดยสัดส่วนรายได้หลักราว 80% จากกลุ่มยาและเวชภัณฑ์และอีกราว 10-12% จากกลุ่มค้าปลีกและอี-คอมเมิร์ซ และอีก 10% จากคลังสินค้า พร้อมคาดว่าในปีหน้าบริษัท จะทำกำไรได้ราว 30-40% โดยกลุ่มยาและเวชภัณฑ์เติบโตทุกปีราว 15% และคาดว่าในอนาคตกลุ่มลูกค้าอี-คอมมิร์ซจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันตลาดยาและเวชภัณฑ์มีมูลค่ารวม 1.5 แสนล้านบาท และศูนย์กลางโลจิสติกส์ตลาดยาเติบโตราว 10% คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านบาท

สำหรับปีนี้บริษัทได้เจรจาความร่วมมือกับลูกค้าอีก 2 โปรเจกท์ คือ 1.ผู้ผลิตยาภายในประเทศ ที่มีสมาชิกร้านยาจำนวน 68 บริษัท 2.โรงพยาบาลและผู้ป่วยโดยตรง ไม่ได้ลงทุนเพิ่มโดยยังใช้เงินลงทุนเดิม 350 ล้านบาท สำหรับ จุดเด่นของบริษัท คือ การเป็นผู้ให้บริการขนส่ง และกระจายสินค้าแบบครบวงจรที่จะเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในภูมิภาค อินโดจีน เพื่อประโยชน์ และสนับสนุนนโยบายของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ พร้อมให้บริการทางด้านบริการคลังสินค้า


http://www.naewna.com/business/222218

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.