Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

24 สิงหาคม 2559 OPPO เตรียมทุ่มงบฯการตลาดกว่า 800 ล้านบาท ใกล้เคียง "ซัมซุง" เพื่อเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยจ้างพรีเซ็นเตอร์ในสินค้ารุ่นต่าง ๆ รวมถึงมีการจัดโรดโชว์สาธิตสินค้าตามจุดขายต่าง ๆ และเพิ่มทีมขายอีกเท่าตัวจาก 2,000 คน เป็น 4,000 คน

ประเด็นหลัก






อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการปลุกตลาดสมาร์ทโฟนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง "ออปโป้" เตรียมทุ่มงบฯการตลาดกว่า 800 ล้านบาท ใกล้เคียง "ซัมซุง" เพื่อเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยจ้างพรีเซ็นเตอร์ในสินค้ารุ่นต่าง ๆ รวมถึงมีการจัดโรดโชว์สาธิตสินค้าตามจุดขายต่าง ๆ และเพิ่มทีมขายอีกเท่าตัวจาก 2,000 คน เป็น 4,000 คน เพื่อจูงใจผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะตัวแปรสำคัญในการซื้อสมาร์ทโฟนคือทักษะการขาย นอกจากสเป็กและราคาของแต่ละรุ่น รวมถึงเพิ่มจุดจำหน่ายในร้านค้าปลีกต่าง ๆ เป็น 11,000 แห่ง จาก 5,000 แห่งในปีก่อน



_________________________________________________





"ออปโป้" ทุ่มสร้างแบรนด์สุดตัว เพิ่มทีมขาย ปูพรมยึดตลาดต่างจังหวัด



"ออปโป้" ทุ่มสุดตัวสร้างแบรนด์-ปั๊มยอดขาย ไม่หวั่นตลาดสมาร์ทโฟนไทยไม่เติบโต ขณะที่กำลังซื้อชะลอตัว พร้อมทุ่มเงิน 800 ล้านบาทปลุกตลาดเต็มสูบ เปิดเกมรุกต่อเนื่องปูพรมเพิ่ม "ทีมขาย และช่องทางจัดจำหน่าย" เท่าตัว ทั้งส่งสินค้ารุ่นใหม่ต่ำหมื่นบาทไล่เก็บมาร์เเก็ตแชร์ ตั้งเป้าโกย 1.3 แสนเครื่อง/เดือน คาดภายในสิ้นปีขยับส่วนแบ่งเป็น 18% ลั่น 5 ปีขึ้นเป็นเบอร์ 1

นายลีโอ จ้าว ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ไทย ออปโป้ จำกัด เปิดเผยว่า จากสภาพเศรษฐกิจในปีนี้ที่ค่อนข้างชะลอตัว และกำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ ทำให้ภาพรวมการจำหน่ายสมาร์ทโฟนในประเทศไทยไม่เติบโต จากปี 2558 ที่มีจำนวน 15 ล้านเครื่อง แต่เมื่อเทียบกับจำนวนผู้เล่นในตลาดที่เพิ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้การแข่งขันค่อนข้างสูงจนมีโอกาสที่ผู้เล่นบางรายต้องออกจากตลาดไป และสุดท้ายจะเหลือเพียง 3 รายใหญ่ และบริษัทเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่เหลืออยู่ เพราะแม้ว่าตลาดจะซบแต่ออปโป้ยังคงเติบโต

หากเทียบครึ่งปีแรกของปีนี้กับปีที่ผ่านมา บริษัทเติบโตถึง 70% ขณะที่ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนในประเทศไทยแทบไม่เติบโต ปัจจุบันออปโป้เป็นอันดับที่ 3 ของตลาด แต่อัตราการเติบโตนี้เทียบกับตลาดโลกไม่ได้ เพราะเมื่อเทียบครึ่งปีนี้กับปีก่อนจะเติบโตถึง 136% เป็นอันดับที่ 4 ของตลาดโลก ทั้งเป็นเบอร์หนึ่งในประเทศจีน หลังทำตลาดสมาร์ทโฟนเป็นเวลา 5 ปี มีส่วนแบ่ง 23% โดยที่ออปโป้สามารถเติบโตได้ เนื่องจากปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา โดยหันมาเน้นเรื่องกล้องถ่ายภาพ และสินค้าราคาระดับกลางมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการปลุกตลาดสมาร์ทโฟนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง "ออปโป้" เตรียมทุ่มงบฯการตลาดกว่า 800 ล้านบาท ใกล้เคียง "ซัมซุง" เพื่อเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยจ้างพรีเซ็นเตอร์ในสินค้ารุ่นต่าง ๆ รวมถึงมีการจัดโรดโชว์สาธิตสินค้าตามจุดขายต่าง ๆ และเพิ่มทีมขายอีกเท่าตัวจาก 2,000 คน เป็น 4,000 คน เพื่อจูงใจผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะตัวแปรสำคัญในการซื้อสมาร์ทโฟนคือทักษะการขาย นอกจากสเป็กและราคาของแต่ละรุ่น รวมถึงเพิ่มจุดจำหน่ายในร้านค้าปลีกต่าง ๆ เป็น 11,000 แห่ง จาก 5,000 แห่งในปีก่อน

"ที่ออปโป้กล้าลงทุนขนาดนี้ เพราะฐานในต่างจังหวัดค่อนข้างแข็งแรง มียอดขายถึง 70% ของจำนวนเครื่องทั้งหมดหลักแสนเครื่องต่อเดือน โดยกรุงเทพฯมีสัดส่วนเพียง 30% เท่านั้น ถือเป็นความแตกต่างที่แบรนด์อื่นยังทำไม่ได้ ส่วนเรื่องช่องทางค้าปลีก กลุ่มทีจีและเจมาร์ทช่วยสร้างยอดขายทำได้ 40% และเหลือเป็นร้านตู้กับตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ที่สำคัญปีนี้จะเพิ่มจุดบริการหลังการขายเป็น 35 แห่ง จาก 26 แห่ง เพื่อตอบรับความต้องการของผู้บริโภคที่ซื้อสมาร์ทโฟนของเรามากขึ้น"

ล่าสุดจะใช้กลยุทธ์ Hero Model ใช้พรีเซ็นเตอร์ช่วยทำตลาด เช่น "ใหม่-ดาวิกา ฮอร์เน่" พร้อมเน้นสินค้าระดับกลาง ราคา 7,000-10,000 บาท เพราะบริษัทวิจัยจีเอฟเคคาดว่ากลุ่มสินค้าระดับนี้จะมีส่วนแบ่งถึง 27% ของตลาดสมาร์ทโฟนในไทยที่ 15 ล้านเครื่อง ได้แก่ รุ่น F1s หน้าจอ 5.5 นิ้ว กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 16 ล้านพิกเซล ซีพียูออคต้าคอร์ แรม 3 GB ราคา 9,990 บาท ตั้งเป้ามีส่วนแบ่งอันดับหนึ่งในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลาง

สำหรับยอดขายโดยรวมในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 1.3 แสนเครื่อง/เดือน จากรุ่นระดับกลาง 50% เพื่อรักษาส่วนแบ่งอันดับที่ 3 ที่ 16-18% นอกจากนี้ ยังวางแผนระยะยาวเพื่อขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดสมาร์ทโฟนไทยภายใน 5 ปี เหมือนในประเทศจีนด้วยกลยุทธ์การทำตลาดทีละระดับราคาเช่นเดิม



http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1471246056

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.