Singtel ดัน AIS ต้องเพิ่มยอด AIS Fibre อีก 3 เท่า พร้อมให้ประมูล 850 และ 1800 MHz แม้ AIS มีคลื่นพอแล้ว

บลูมเบิร์ก รายงาน บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการระบบการสื่อสารชั่นนำของประเทศ มีเป้าหมายให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง(เน็ตบ้านหรือเน็ตมีสาย) ติด 1 ใน 3 ของตลาด เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในภาคธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการเน็ตบ้านหรือเน็ตมีสายเฉพาะในเขตกรุงเทพ จำนวน 2 ล้านรายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งในปัจจุบันมีลูกค้าเพียง 600,000 ราย คุณสมชัย เลิศสุทธิวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การให้บริการเน็ตบ้านหรือเน็ตมีสาย จะเป็นรูปแบบสำหรับการบริการรูปแบบดิจิตอลในบ้านและออฟฟิศตลอดจนบนท้องถนนโดยเฉพาะคนกรุงเทพ ดั้งนั้น AIS ต้องเปลี่ยนตัวเอง ภายในปี 2020 ให้ได้ เพื่อเป็นผู้เล่นหลักในบรอดแบนด์ (เน็ตบ้านหรือเน็ตมีสาย) แบบถาวร

ในขณะที่ TRUE ได้รับการสนับสนุนจาก ไชน่าโมบาย เพื่อนำมาอุดหนุนการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดของไทย ทำให้สามารถแซง DTAC ซึ่งในปีหน้าจะมีการประมูลคลื่นด้วยราคาใบอนุญาตขั้นต่ำที่มากกว่า 1 พันล้านเหรียญ ในขณะที่ประเทศยังขาดแคลนแบนด์วิดท์ในการให้บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบไร้สายที่มีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทาง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) มีคลื่นความถี่ที่เพียงพออยู่แล้ว แต่ก็จะเข้าร่วมการประมูลเพื่อเสนอราคาอย่างแน่นอน เนื่องจากมีความสนใจคลื่นความถี่ 850 และ 1800 MHz เป้าหมายสำคัณในปีนี้ของบริษัทคือการเพิ่มผลกำไรถึงร้อยละ 30 ของรายได้รวมจากปัจจุบันที่ 9% การเติบโตของรายได้จากการให้บริการในปี 2561อาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามเศรษฐกิจของไทยอยู่ในช่วงร้อยละ 4 ถึง 6% คุณจิตรา อมรธรรม จาก บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) มีรายได้จะมีความหลากหลายเพิ่มสูงขึ้น ขึ้นอยู่กับการประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนผู้ให้บริการโครงข่ายความเร็วสูง (เน็ตบ้านหรือเน็ตมีสาย) และพบว่าการต่อสู้ระหว่าผู้ให้บริการในตลาดหลัก ( Ais , True , Dtac ) ทั้งจำนวนผู้ใช้บริการและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตคลื่นความถี่ Ais ยังคงเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่าทั้ง 3 ราย การดำเนินงานของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เป็นของสิงคโปร์ (บริษัทสิงคโปร์ เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ ลิมิเต็ด ) ซึ่งถือหุ้น 23% ลดลงเหลือประมาณ 26% ต่ำสุดนับตั้งแต่ปีพ. ศ. 2552 ตามข้อมูลที่บลูมเบิร์กได้รวบรวมไว้ bloomberg