13 ตุลาคม 2554 "พิมพ์แล้วขับ" อันตรายหนัก ขาดความไวในการสนองตอบลง 2 เท่า
"พิมพ์แล้วขับ" อันตรายหนัก ขาดความไวในการสนองตอบลง 2 เท่า
ประเด็นหลัก
ว่า “การทำเช่นนั้นตอนขับรถจะทำให้แสดงกิริยาตอบสนองช้ากว่าปกติถึง 2 เท่า จึงแก้ไขอันตรายเต่อหน้าช้าลงไป” ผลปรากฏว่า เมื่อต้องพิมพ์ข้อความอยู่ จะต้องใช้เวลานานขึ้น 3-4 วินาที
___________________________________________________
"พิมพ์แล้วขับ" อันตรายหนัก ขาดความไวในการสนองตอบลง 2 เท่า
นัก วิทยาศาสตร์สถาบันขนส่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส สหรัฐฯ ศึกษาพบว่า การพิมพ์ข้อความ ส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือขณะขับรถจะเป็นอันตรายหนักยิ่งกว่าที่เคย คาดคิดกันเมื่อก่อน
นักวิจัยคริสติน ยาเกอร์ กล่าวว่า “การทำเช่นนั้นตอนขับรถจะทำให้แสดงกิริยาตอบสนองช้ากว่าปกติถึง 2 เท่า จึงแก้ไขอันตรายเต่อหน้าช้าลงไป”
เขาได้ทดลองกับผู้ขับขี่วัยระหว่าง 16-52 ปี 42 ราย ในสนามฝึกขับระยะทาง 17.6 กม. โดยให้พิมพ์ข้อความเพื่อส่งไปให้ คนอื่นด้วย และเมื่อใช้สมาธิในการขับอย่างเดียว โดยจะต้องคอยเหยียบเบรก เมื่อเห็นสัญญาณไฟสว่างขึ้น นานระหว่าง 1-2 วินาที ผลปรากฏว่า เมื่อต้องพิมพ์ข้อความอยู่ จะต้องใช้เวลานานขึ้น 3-4 วินาที และยิ่งกว่านั้นผู้ขี่ที่ทำเช่นนั้น ยังจะสังเกตไม่เห็นไฟสว่างขึ้นถึง 11 หน ผู้วิจัยยังเปิดเผยว่า ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ข้อความ หรืออ่านดูข้อความที่ส่งมา ก็ทำให้กิริยาตอบสนองช้าลงทั้งสิ้น “การทำทั้ง 2 อย่าง ทำให้ขับไม่ถนัด และเป็นอันตรายพอๆ กัน” โฆษกยังแจ้งว่า การพิมพ์ข้อความแล้วขับทำให้ขับรถส่ายไปมา และรักษาความเร็วให้คงที่ได้ยากด้วย.
ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/edu/208491
ประเด็นหลัก
ว่า “การทำเช่นนั้นตอนขับรถจะทำให้แสดงกิริยาตอบสนองช้ากว่าปกติถึง 2 เท่า จึงแก้ไขอันตรายเต่อหน้าช้าลงไป” ผลปรากฏว่า เมื่อต้องพิมพ์ข้อความอยู่ จะต้องใช้เวลานานขึ้น 3-4 วินาที
___________________________________________________
"พิมพ์แล้วขับ" อันตรายหนัก ขาดความไวในการสนองตอบลง 2 เท่า
นัก วิทยาศาสตร์สถาบันขนส่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส สหรัฐฯ ศึกษาพบว่า การพิมพ์ข้อความ ส่งข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือขณะขับรถจะเป็นอันตรายหนักยิ่งกว่าที่เคย คาดคิดกันเมื่อก่อน
นักวิจัยคริสติน ยาเกอร์ กล่าวว่า “การทำเช่นนั้นตอนขับรถจะทำให้แสดงกิริยาตอบสนองช้ากว่าปกติถึง 2 เท่า จึงแก้ไขอันตรายเต่อหน้าช้าลงไป”
เขาได้ทดลองกับผู้ขับขี่วัยระหว่าง 16-52 ปี 42 ราย ในสนามฝึกขับระยะทาง 17.6 กม. โดยให้พิมพ์ข้อความเพื่อส่งไปให้ คนอื่นด้วย และเมื่อใช้สมาธิในการขับอย่างเดียว โดยจะต้องคอยเหยียบเบรก เมื่อเห็นสัญญาณไฟสว่างขึ้น นานระหว่าง 1-2 วินาที ผลปรากฏว่า เมื่อต้องพิมพ์ข้อความอยู่ จะต้องใช้เวลานานขึ้น 3-4 วินาที และยิ่งกว่านั้นผู้ขี่ที่ทำเช่นนั้น ยังจะสังเกตไม่เห็นไฟสว่างขึ้นถึง 11 หน ผู้วิจัยยังเปิดเผยว่า ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์ข้อความ หรืออ่านดูข้อความที่ส่งมา ก็ทำให้กิริยาตอบสนองช้าลงทั้งสิ้น “การทำทั้ง 2 อย่าง ทำให้ขับไม่ถนัด และเป็นอันตรายพอๆ กัน” โฆษกยังแจ้งว่า การพิมพ์ข้อความแล้วขับทำให้ขับรถส่ายไปมา และรักษาความเร็วให้คงที่ได้ยากด้วย.
ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/edu/208491
ไม่มีความคิดเห็น: