13 สิงหาคม 2555 ไทยคม(อ้างตนไม่ผิด)มินคืนเงินประกันให้ICTอ้างไปใช้สร้างไทยคมดวงใหม่แล้ว!ไอพีสตาร์ ถูกกม. ชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ให้ ICT
ไทยคม(อ้างตนไม่ผิด)มินคืนเงินประกันให้ICTอ้างไปใช้สร้างไทยคมดวงใหม่แล้ว!ไอพีสตาร์ ถูกกม. ชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ให้ ICT
ประเด็นหลัก
ก่อนหน้านี้ ไอซีที ได้ให้บริษัทปรับสัดส่วนการถือหุ้น สืบเนื่องจาก บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่ไทยคม ได้ลดสัดส่วนถือหุ้นในไทยคมลง จาก 51% เหลือ 41% โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งจะให้ชินคอร์ปกลับไปถือหุ้นในสัดส่วนเดิม
นอก จากนี้มีประเด็นการให้บริษัทคืนเงินประกัน จากกรณีดาวเทียมไทยคม 3 ปลดระวางก่อนกำหนดวงเงิน 6.7 ล้านเหรียญ ให้ กระทรวงไอซีที ขณะที่การยิงดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ทางกฤษฎีการะบุว่า ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองไทยคม 3 ตามสัญญาสัมปทาน ซึ่งได้ให้ไทยคมไปแก้ไข
แหล่ง ข่าวจาก กระทรวงไอซีที กล่าวว่าทางบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงประเด็นแรก เรื่องการให้บริษัทชินคอร์ปเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นนั้น ทาง ชินคอร์ป ยืนยันจะไม่เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากไม่น้อยกว่า 41% เป็น 51% เนื่องจากมีความเห็นว่าความผิดที่ผ่านมานั้น เป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคลไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทไทยคม
ประเด็นที่สอง เรื่องการคืนเงินประกัน6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางไทยคมแจ้งว่าจะนำเงินดังกล่าวไปสร้างดาวเทียมดวงใหม่ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องส่งคืนให้กับกระทรวงไอซีทีแต่อย่างใด
ส่วน ประเด็นสุดท้ายดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นดาวเทียมนอกสัญญาสัมปทานนั้น ทางไทยคมยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ให้กับ กระทรวงไอซีที มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นก็ถือเป็นดาวเทียมตามสัญญาสัมปทาน
___________________________
‘ไทยคม’กร้าว!ยันไม่ได้ทำผิดสัญญา เมินคืนเงินประกันให้ไอซีที
“ไทย คม” ร่อนหนังสือถึง กระทรวงไอซีทียันจะไม่คืนเงินประกันค่าดาวเทียม เสียหายให้รัฐ ขณะที่ “อินทัช” ยืนกรานไม่เพิ่มสัดส่วนหุ้นใน “ไทยคม” ทำให้ผู้บริหาร “ไอซีที” ไปไม่เป็น เล็งส่ง “กฤษฎีกา”ช่วยชี้ช่องหาทางออก
ผู้ สื่อข่าวรายงานจาก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ว่าตามที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีทีได้ให้ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)ผู้รับสัมปทานดาวเทียมจากกระทรวงไอซีทีนำส่งเอกสารเพื่อชี้แจงต่อ กระทรวงไอซีทีใน3 ประเด็นนั้น ล่าสุดไทยคมได้จัดส่งเอกสารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านี้ ไอซีที ได้ให้บริษัทปรับสัดส่วนการถือหุ้น สืบเนื่องจาก บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่ไทยคม ได้ลดสัดส่วนถือหุ้นในไทยคมลง จาก 51% เหลือ 41% โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งจะให้ชินคอร์ปกลับไปถือหุ้นในสัดส่วนเดิม
นอก จากนี้มีประเด็นการให้บริษัทคืนเงินประกัน จากกรณีดาวเทียมไทยคม 3 ปลดระวางก่อนกำหนดวงเงิน 6.7 ล้านเหรียญ ให้ กระทรวงไอซีที ขณะที่การยิงดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ทางกฤษฎีการะบุว่า ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองไทยคม 3 ตามสัญญาสัมปทาน ซึ่งได้ให้ไทยคมไปแก้ไข
แหล่ง ข่าวจาก กระทรวงไอซีที กล่าวว่าทางบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงประเด็นแรก เรื่องการให้บริษัทชินคอร์ปเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นนั้น ทาง ชินคอร์ป ยืนยันจะไม่เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากไม่น้อยกว่า 41% เป็น 51% เนื่องจากมีความเห็นว่าความผิดที่ผ่านมานั้น เป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคลไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทไทยคม
ประเด็นที่สอง เรื่องการคืนเงินประกัน6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางไทยคมแจ้งว่าจะนำเงินดังกล่าวไปสร้างดาวเทียมดวงใหม่ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องส่งคืนให้กับกระทรวงไอซีทีแต่อย่างใด
ส่วน ประเด็นสุดท้ายดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นดาวเทียมนอกสัญญาสัมปทานนั้น ทางไทยคมยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ให้กับ กระทรวงไอซีที มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นก็ถือเป็นดาวเทียมตามสัญญาสัมปทาน
อย่าง ไรก็ตาม กระทรวงไอซีที กำลังเร่งพิจารณาอย่างละเอียดและจะสรุปแนวทางเสนอให้น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที เพื่อพิจารณา คาดว่า ไม่เกินเดือนตุลาคมจะสามารถนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบในการดำเนินการต่อไปได้
“การทำหนังสือแจ้งกลับมายัง กระทรวงไอซีที ของไทยคมนั้น ไม่มีอะไรเกินคาดหมาย เนื่องจากผู้บริหารไทยคม ได้ยืนยันมาโดยตลอดว่าไทยคมไม่ไดกระทำความผิด แต่เป็นความผิดที่ตัวบุคคล และได้ทำการยึดทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยฉะนั้นการดำเนินการธุรกิจก็คงต้อง ดำเนินการต่อไป”
ส่วนท่าทีของ กระทรวงไอซีทีนั้นยังยืนยันว่า จะต้องพิจารณาตามคำตัดสินชี้ขาดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ที่มีคำสั่งยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 อย่างครบถ้วน เพราะมิฉะนั้นอาจจะถูกกล่าวหาว่าละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่มาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา
ขณะเดียวกัน กระทรวงไอซีที อาจนำประเด็นดังกล่าว สอบถามความเห็นไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ความเห็น และเป็นแนวทางให้กระทรวงไอซีทีดำเนินการต่อไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของ กฎหมาย และก่อนที่สัญญาสัมปทานดาวเทียมจะสิ้นสุดในอีก 10 ปีข้างหน้า รวมถึงรอความชัดเจนจากกระทรวงการคลังด้วย หลังจากที่กระทรวงไอซีทีได้สอบถามเรื่องเงินประกัน และการรับเงินค่าส่วนแบ่งรายได้จากดาวเทียมไอพีสตาร์ในช่วงที่ผ่านมาว่า ควรจะดำเนินการอย่างไร แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากกระทรวงการคลัง
แนวหน้า
http://www.naewna.com/business/18057
ประเด็นหลัก
ก่อนหน้านี้ ไอซีที ได้ให้บริษัทปรับสัดส่วนการถือหุ้น สืบเนื่องจาก บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่ไทยคม ได้ลดสัดส่วนถือหุ้นในไทยคมลง จาก 51% เหลือ 41% โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งจะให้ชินคอร์ปกลับไปถือหุ้นในสัดส่วนเดิม
นอก จากนี้มีประเด็นการให้บริษัทคืนเงินประกัน จากกรณีดาวเทียมไทยคม 3 ปลดระวางก่อนกำหนดวงเงิน 6.7 ล้านเหรียญ ให้ กระทรวงไอซีที ขณะที่การยิงดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ทางกฤษฎีการะบุว่า ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองไทยคม 3 ตามสัญญาสัมปทาน ซึ่งได้ให้ไทยคมไปแก้ไข
แหล่ง ข่าวจาก กระทรวงไอซีที กล่าวว่าทางบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงประเด็นแรก เรื่องการให้บริษัทชินคอร์ปเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นนั้น ทาง ชินคอร์ป ยืนยันจะไม่เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากไม่น้อยกว่า 41% เป็น 51% เนื่องจากมีความเห็นว่าความผิดที่ผ่านมานั้น เป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคลไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทไทยคม
ประเด็นที่สอง เรื่องการคืนเงินประกัน6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางไทยคมแจ้งว่าจะนำเงินดังกล่าวไปสร้างดาวเทียมดวงใหม่ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องส่งคืนให้กับกระทรวงไอซีทีแต่อย่างใด
ส่วน ประเด็นสุดท้ายดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นดาวเทียมนอกสัญญาสัมปทานนั้น ทางไทยคมยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ให้กับ กระทรวงไอซีที มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นก็ถือเป็นดาวเทียมตามสัญญาสัมปทาน
___________________________
‘ไทยคม’กร้าว!ยันไม่ได้ทำผิดสัญญา เมินคืนเงินประกันให้ไอซีที
“ไทย คม” ร่อนหนังสือถึง กระทรวงไอซีทียันจะไม่คืนเงินประกันค่าดาวเทียม เสียหายให้รัฐ ขณะที่ “อินทัช” ยืนกรานไม่เพิ่มสัดส่วนหุ้นใน “ไทยคม” ทำให้ผู้บริหาร “ไอซีที” ไปไม่เป็น เล็งส่ง “กฤษฎีกา”ช่วยชี้ช่องหาทางออก
ผู้ สื่อข่าวรายงานจาก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ว่าตามที่ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีทีได้ให้ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)ผู้รับสัมปทานดาวเทียมจากกระทรวงไอซีทีนำส่งเอกสารเพื่อชี้แจงต่อ กระทรวงไอซีทีใน3 ประเด็นนั้น ล่าสุดไทยคมได้จัดส่งเอกสารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ก่อนหน้านี้ ไอซีที ได้ให้บริษัทปรับสัดส่วนการถือหุ้น สืบเนื่องจาก บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่ไทยคม ได้ลดสัดส่วนถือหุ้นในไทยคมลง จาก 51% เหลือ 41% โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจาก คณะรัฐมนตรี(ครม.) ทั้งจะให้ชินคอร์ปกลับไปถือหุ้นในสัดส่วนเดิม
นอก จากนี้มีประเด็นการให้บริษัทคืนเงินประกัน จากกรณีดาวเทียมไทยคม 3 ปลดระวางก่อนกำหนดวงเงิน 6.7 ล้านเหรียญ ให้ กระทรวงไอซีที ขณะที่การยิงดาวเทียมไทยคม 4 (ไอพีสตาร์) ทางกฤษฎีการะบุว่า ไม่ใช่ดาวเทียมสำรองไทยคม 3 ตามสัญญาสัมปทาน ซึ่งได้ให้ไทยคมไปแก้ไข
แหล่ง ข่าวจาก กระทรวงไอซีที กล่าวว่าทางบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้ชี้แจงประเด็นแรก เรื่องการให้บริษัทชินคอร์ปเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นนั้น ทาง ชินคอร์ป ยืนยันจะไม่เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากไม่น้อยกว่า 41% เป็น 51% เนื่องจากมีความเห็นว่าความผิดที่ผ่านมานั้น เป็นความผิดเฉพาะตัวบุคคลไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทไทยคม
ประเด็นที่สอง เรื่องการคืนเงินประกัน6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ทางไทยคมแจ้งว่าจะนำเงินดังกล่าวไปสร้างดาวเทียมดวงใหม่ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องส่งคืนให้กับกระทรวงไอซีทีแต่อย่างใด
ส่วน ประเด็นสุดท้ายดาวเทียมไอพีสตาร์ เป็นดาวเทียมนอกสัญญาสัมปทานนั้น ทางไทยคมยืนยันว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ชำระค่าส่วนแบ่งรายได้ให้กับ กระทรวงไอซีที มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นก็ถือเป็นดาวเทียมตามสัญญาสัมปทาน
อย่าง ไรก็ตาม กระทรวงไอซีที กำลังเร่งพิจารณาอย่างละเอียดและจะสรุปแนวทางเสนอให้น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที เพื่อพิจารณา คาดว่า ไม่เกินเดือนตุลาคมจะสามารถนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบในการดำเนินการต่อไปได้
“การทำหนังสือแจ้งกลับมายัง กระทรวงไอซีที ของไทยคมนั้น ไม่มีอะไรเกินคาดหมาย เนื่องจากผู้บริหารไทยคม ได้ยืนยันมาโดยตลอดว่าไทยคมไม่ไดกระทำความผิด แต่เป็นความผิดที่ตัวบุคคล และได้ทำการยึดทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยฉะนั้นการดำเนินการธุรกิจก็คงต้อง ดำเนินการต่อไป”
ส่วนท่าทีของ กระทรวงไอซีทีนั้นยังยืนยันว่า จะต้องพิจารณาตามคำตัดสินชี้ขาดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทาง การเมือง ที่มีคำสั่งยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2553 อย่างครบถ้วน เพราะมิฉะนั้นอาจจะถูกกล่าวหาว่าละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่มาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา
ขณะเดียวกัน กระทรวงไอซีที อาจนำประเด็นดังกล่าว สอบถามความเห็นไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้ความเห็น และเป็นแนวทางให้กระทรวงไอซีทีดำเนินการต่อไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของ กฎหมาย และก่อนที่สัญญาสัมปทานดาวเทียมจะสิ้นสุดในอีก 10 ปีข้างหน้า รวมถึงรอความชัดเจนจากกระทรวงการคลังด้วย หลังจากที่กระทรวงไอซีทีได้สอบถามเรื่องเงินประกัน และการรับเงินค่าส่วนแบ่งรายได้จากดาวเทียมไอพีสตาร์ในช่วงที่ผ่านมาว่า ควรจะดำเนินการอย่างไร แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากกระทรวงการคลัง
แนวหน้า
http://www.naewna.com/business/18057
ไม่มีความคิดเห็น: