15 กุมภาพันธ์ 2555 ( บทความ )บทเรียนจาก "อินเดียถึงไทย" ปมคอร์รัปชั่นคว่ำ 122 ไลเซนส์มือถือ // การคอร์รัปชั่นและเล่นพวก กระทบ 3G ค่ำแล้ว++
( บทความ )บทเรียนจาก "อินเดียถึงไทย" ปมคอร์รัปชั่นคว่ำ 122 ไลเซนส์มือถือ // การคอร์รัปชั่นและเล่นพวก กระทบ 3G ค่ำแล้ว++
ประเด็นหลัก
คำกล่าวของศาลสูงสุดระบุว่า ใบอนุญาตดังกล่าวผิดกฎหมาย เนื่องจากกระบวนการมอบใบอนุญาตในครั้งนั้นเป็นการทำตามอำเภอใจ มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน และตรงกันข้ามกับความต้องการของสาธารณชน โดยไม่คำนึงถึงการละเมิดทฤษฎีแห่งความเสมอภาค
คำตัดสินดังกล่าวส่งผล ให้ใบอนุญาต 122 ฉบับ ซึ่งถือครองโดยผู้ให้บริการทั้งหมด 8 ราย โดนยกเลิก ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในอินเดียไม่น้อยกว่า 5% จากทั้งหมด 894 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม การเพิกถอนใบอนุญาตในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทยูนิเทค ไวร์เลส บริษัทร่วมทุนระหว่าง "เทเลนอร์" สัญชาตินอร์เวย์ และบริษัท "ยูนิเทค" ของอินเดีย ซึ่งถือเป็นโอเปอเรเตอร์หน้าใหม่ที่กำลังรุกหนักในตลาด และมียอดผู้ใช้บริการมากกว่า 36 ล้านคน
ตัวแทนของยูนิเทคกล่าวถึง เหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "เราได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม เพราะสิ่งที่ทำมาเป็นไปตามกระบวนการของรัฐบาลทั้งนั้น เราสะเทือนใจที่เห็นบริษัทโดนลงโทษจากศาล โดยมีสาเหตุมาจากความผิดพลาดในกระบวนการทำงานของภาครัฐ"
_____________________________________________________________________
บทความ
บทเรียนจาก "อินเดียถึงไทย" ปมคอร์รัปชั่นคว่ำ 122 ไลเซนส์มือถือ
ใน ขณะที่การเปิดประมูลใบอนุญาตการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ในบ้านเรายังไร้วี่แวว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการโทรคมนาคมในประเทศอินเดีย
เมื่อเร็ว ๆ นี้นับว่าน่าสนใจ และน่าจะเป็นบทเรียนให้กับการประมูลไลเซนส์ใหม่ โดย "กสทช." หรือคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่กำลังจะมาถึงได้บ้างไม่มากก็น้อย
สำนัก ข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ศาลสูงสุดของประเทศอินเดียออกคำสั่งมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 ว่า ให้เพิกถอนใบอนุญาตการให้บริการโทรคมนาคมทั้งหมดที่ออกให้ในปี 2551 ซึ่งการกระทำครั้งนี้ถือเป็นการกระทำที่เด็ดเดี่ยวเพื่อต่อต้านการ คอร์รัปชั่นที่แทรกซึมอยู่ในอินเดีย แต่ในขณะเดียวกันยังสร้างความปั่นป่วนในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่เป็น อันดับ 2 ของโลกพร้อมกันด้วย
คำกล่าวของศาลสูงสุดระบุว่า ใบอนุญาตดังกล่าวผิดกฎหมาย เนื่องจากกระบวนการมอบใบอนุญาตในครั้งนั้นเป็นการทำตามอำเภอใจ มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน และตรงกันข้ามกับความต้องการของสาธารณชน โดยไม่คำนึงถึงการละเมิดทฤษฎีแห่งความเสมอภาค
คำตัดสินดังกล่าวส่งผล ให้ใบอนุญาต 122 ฉบับ ซึ่งถือครองโดยผู้ให้บริการทั้งหมด 8 ราย โดนยกเลิก ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในอินเดียไม่น้อยกว่า 5% จากทั้งหมด 894 ล้านคน
ตลาดอินเดียถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดและประกอบไปด้วยผู้ให้บริการมากกว่า 12 ราย
ผู้ นำตลาดอย่าง "บาร์ติ แอร์เทล" (Bharti Airtel) และบริษัทสัญชาติอังกฤษ "โวดาโฟน" (Vodafone) ได้ประโยชน์จากคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมาทั้งคู่เพิ่งชนะคดีเมื่อศาลสูงสุดของอินเดีย ตัดสินว่า ทั้งคู่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการจ่ายภาษีมูลค่า 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การเพิกถอนใบอนุญาตในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทยูนิเทค ไวร์เลส บริษัทร่วมทุนระหว่าง "เทเลนอร์" สัญชาตินอร์เวย์ และบริษัท "ยูนิเทค" ของอินเดีย ซึ่งถือเป็นโอเปอเรเตอร์หน้าใหม่ที่กำลังรุกหนักในตลาด และมียอดผู้ใช้บริการมากกว่า 36 ล้านคน
ตัวแทนของยูนิเทคกล่าวถึง เหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "เราได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม เพราะสิ่งที่ทำมาเป็นไปตามกระบวนการของรัฐบาลทั้งนั้น เราสะเทือนใจที่เห็นบริษัทโดนลงโทษจากศาล โดยมีสาเหตุมาจากความผิดพลาดในกระบวนการทำงานของภาครัฐ"
นอกจากนี้ ยังกระทบต่อบริษัทโทรคมนาคมรายอื่น ๆ ซึ่งร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติอินเดีย เช่น เอติซาแลตจากเมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซิสเทม่าของรัสเซีย ซึ่งคาดว่าบริษัทที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้คงต้องออกมาคัดค้านคำตัดสินดัง กล่าวของศาลสูงสุดแน่นอน
"สำหรับนักลงทุนต่างชาตินี่ถือเป็นข่าวร้าย มาก ๆ พวกเขาทำอะไรผิด เขาเข้ามาจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทในอินเดีย นำเงินมาลงทุนเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ทั้งยังปฏิบัติตามกระบวนการของภาครัฐตลอดเวลาด้วย" ริชิ ซาไฮ หัวหน้าฝ่ายให้คำปรึกษา บริษัทโคเก้นซ์ แอดไวเซอร์สกล่าว
ผู้ให้ บริการที่ถือครองใบอนุญาตซึ่งโดนสั่งเพิกถอนสามารถให้บริการบนเครือข่ายดัง กล่าวไปได้อีก 4 เดือน ก่อนที่คำสั่งศาลจะมีผลบังคับใช้ โดยศาลมอบหมายให้ผู้กำกับกิจการโทรคมนาคมของอินเดียร่างคำแนะนำใหม่สำหรับ การจัดสรรปันส่วนใบอนุญาตและคลื่นความถี่ จากนั้นรัฐบาลต้องพิจารณาข้อเสนอภายใน 1 เดือน เพื่อเริ่มประมูลใบอนุญาตใหม่
ถึงแม้การให้บริการบนเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะมีให้เห็นในประเทศอินเดียแล้ว แต่ผู้ใช้บริการจำนวนมากยังคงใช้งานบนเทคโนโลยีแบบพื้นฐาน ดังนั้นจึงน่าจะมีความต้องการสูงในการประมูลใบอนุญาตใหม่บนเครือข่าย 2G มากกว่า
ศาลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โอเปอเรเตอร์ ต้องประมูลใบอนุญาตใหม่ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ แต่ยังไม่มีความชัดเจน ว่ารัฐบาลจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้บริษัทร่วมทุนที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ หรือไม่
ขณะที่ฝั่งผู้บริโภคซึ่งใช้บริการกับเครือข่ายที่จะโดนยก เลิกใบอนุญาตในอนาคต หัวหน้าฝ่ายกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของอินเดียแนะนำว่า ให้โยกย้ายหมายเลขไปสู่ผู้ให้บริการรายอื่นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ภายในระยะเวลา 4 เดือน
การประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ครั้งใหม่น่าจะ ทำให้รัฐบาลอินเดียซึ่งกำลังขาดดุลอยู่ในขณะนี้ได้เงินก้อนใหม่เป็นมูลค่า หลายพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการตัดสินของศาลครั้งนี้มีผลสืบเนื่องมาจากผลงานอันน่าขายหน้าของรัฐบาล อินเดียในยุคที่มีนายแมนโมฮาน ซิง เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งภายหลังโดนตรวจสอบว่ามีการขายใบอนุญาตในระดับราคาที่ต่ำเกินมาตรฐานตลาด ทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียรายได้ไปประมาณ 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่ง ผลต่อเนื่องไปสู่ปัญหาการเมืองภายในประเทศอินเดีย โดยเหตุการณ์อื้อฉาวในกิจการโทรคมนาคมถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สุดที่มีการเปิด โปงในยุคการทำงานของนายกรัฐมนตรีซิงสมัยที่ 2 และทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงบนท้องถนนในปี 2554
"พารานจอย กูฮา ทาเคอร์ต้า" นักวิเคราะห์ด้านการเมืองของอินเดียกล่าวว่า เป็นการตัดสินที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะพยายามทำลายการคอร์รัปชั่นที่อยู่ระหว่างการทำธุรกิจและการเมืองของ อินเดีย
รัฐมนตรี 2 คนของอินเดียได้ประกาศลาออกจากเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงอดีตรัฐมนตรีโทรคมนาคม
"อันดิมูตุ ราจา" ที่รับผิดชอบในกระบวนการประมูลใบอนุญาตเมื่อปี 2551 โดยขณะนี้เขาโดนจำคุกและกำลังอยู่ระหว่างรอการไต่สวน
แม้ คำตัดสินของศาลสูงสุดอาจทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลกับความไม่แน่นอนของการ ทำธุรกิจในประเทศ อินเดียซึ่งถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของทวีปเอเชีย แต่ก็ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับบทบาทของ
ศาลยุติธรรมและความพยายามของประเทศอินเดียที่ต้องการปราบปรามการคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังมากขึ้น
"คามเลช บาเทีย" หัวหน้าการวิจัยของการ์ตเนอร์ในมุมไบ แสดงความเห็นว่า นี่ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวของอินเดียไปสู่การทำนโยบายแบบโปร่งใส
"คา พิล ซิบาล" รัฐมนตรีกระทรวงโทรคมนาคมคนปัจจุบันกล่าวว่า ในที่สุดอินเดียก็สามารถยุติเรื่องราวความสับสนที่เคยเป็นตัวควบคุมตลาดได้ ทั้งยืนยันว่า คำตัดสินนี้จะทำให้ธุรกิจโทรคมนาคมมีความชัดเจนขึ้น และคลื่นความถี่จะจัดสรรผ่านการประมูลเท่านั้น ไม่ใช่ในรูปแบบมาก่อนได้ก่อนซึ่งศาลมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติอีกต่อไป
การ ประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่จำนวน 122 ใบ น่าจะมีมูลค่าประมาณ 22,700 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะในส่วนการประมูลใบอนุญาต 3G ในปี 2553 ส่วนการประมูลคลื่นความถี่แบบ 2G น่าจะมีมูลค่าต่ำกว่านี้
อินเดีย ถือเป็นประเทศที่มีตลาดการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก หากนับจากจำนวนผู้ใช้งานซึ่งมีประมาณ 894 ล้านคน ณ เดือนธันวาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดส่งผลให้อินเดียเป็นหนึ่งในตลาดที่มีอัตราการ เก็บค่าบริการถูกที่สุดตามไปด้วย
เว็บไซต์เทเลคอมพีเคดอตเน็ตออกมา แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า ประเด็นการคอร์รัปชั่นและการเล่นพรรคเล่นพวกเป็นปัญหาหลักในประเทศกำลัง พัฒนาหลายประเทศ ซึ่งประเทศแถบเอเชียอย่างอินเดียต้องประสบปัญหานี้ด้วยเช่นกัน
สิ่ง ที่เกิดขึ้นกับอินเดียได้ให้บทเรียนสำคัญ 5 เรื่อง 1.คุณธรรมและความโปร่งใสควรเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในตลาดโทรคมนาคมของ ประเทศกำลังพัฒนา 2.การกำหนดบทบาทของผู้กำกับกิจการโทรคมนาคมสามารถสร้างหรือพังการประกอบ ธุรกิจได้ 3.พึงระลึกไว้ว่าคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรที่มีค่าของประเทศ และควรจัดสรรด้วยความเป็นธรรม 4.ผู้ถือหุ้นของบริษัทโทรคมนาคมควรยึดถือจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจเป็น อันดับแรก และสุดท้าย การนำทุนและรูปแบบการบริหารจากเอกชนมาใส่ในกิจกรรมภาครัฐควรทำด้วยความระมัด ระวัง
บทเรียนจาก "อินเดีย" จึงนับว่ามีประโยชน์ต่อประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ในห้วงเวลาที่การประมูลใบอนุญาตกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้าไม่นาน
ประชาชาติธุรกิจ // คอลัมน์ click world
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1329195188&grpid=&catid=06&subcatid=
ประเด็นหลัก
คำกล่าวของศาลสูงสุดระบุว่า ใบอนุญาตดังกล่าวผิดกฎหมาย เนื่องจากกระบวนการมอบใบอนุญาตในครั้งนั้นเป็นการทำตามอำเภอใจ มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน และตรงกันข้ามกับความต้องการของสาธารณชน โดยไม่คำนึงถึงการละเมิดทฤษฎีแห่งความเสมอภาค
คำตัดสินดังกล่าวส่งผล ให้ใบอนุญาต 122 ฉบับ ซึ่งถือครองโดยผู้ให้บริการทั้งหมด 8 ราย โดนยกเลิก ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในอินเดียไม่น้อยกว่า 5% จากทั้งหมด 894 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม การเพิกถอนใบอนุญาตในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทยูนิเทค ไวร์เลส บริษัทร่วมทุนระหว่าง "เทเลนอร์" สัญชาตินอร์เวย์ และบริษัท "ยูนิเทค" ของอินเดีย ซึ่งถือเป็นโอเปอเรเตอร์หน้าใหม่ที่กำลังรุกหนักในตลาด และมียอดผู้ใช้บริการมากกว่า 36 ล้านคน
ตัวแทนของยูนิเทคกล่าวถึง เหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "เราได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม เพราะสิ่งที่ทำมาเป็นไปตามกระบวนการของรัฐบาลทั้งนั้น เราสะเทือนใจที่เห็นบริษัทโดนลงโทษจากศาล โดยมีสาเหตุมาจากความผิดพลาดในกระบวนการทำงานของภาครัฐ"
_____________________________________________________________________
บทความ
บทเรียนจาก "อินเดียถึงไทย" ปมคอร์รัปชั่นคว่ำ 122 ไลเซนส์มือถือ
ใน ขณะที่การเปิดประมูลใบอนุญาตการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz ในบ้านเรายังไร้วี่แวว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการโทรคมนาคมในประเทศอินเดีย
เมื่อเร็ว ๆ นี้นับว่าน่าสนใจ และน่าจะเป็นบทเรียนให้กับการประมูลไลเซนส์ใหม่ โดย "กสทช." หรือคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่กำลังจะมาถึงได้บ้างไม่มากก็น้อย
สำนัก ข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ศาลสูงสุดของประเทศอินเดียออกคำสั่งมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555 ว่า ให้เพิกถอนใบอนุญาตการให้บริการโทรคมนาคมทั้งหมดที่ออกให้ในปี 2551 ซึ่งการกระทำครั้งนี้ถือเป็นการกระทำที่เด็ดเดี่ยวเพื่อต่อต้านการ คอร์รัปชั่นที่แทรกซึมอยู่ในอินเดีย แต่ในขณะเดียวกันยังสร้างความปั่นป่วนในตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใหญ่เป็น อันดับ 2 ของโลกพร้อมกันด้วย
คำกล่าวของศาลสูงสุดระบุว่า ใบอนุญาตดังกล่าวผิดกฎหมาย เนื่องจากกระบวนการมอบใบอนุญาตในครั้งนั้นเป็นการทำตามอำเภอใจ มีการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน และตรงกันข้ามกับความต้องการของสาธารณชน โดยไม่คำนึงถึงการละเมิดทฤษฎีแห่งความเสมอภาค
คำตัดสินดังกล่าวส่งผล ให้ใบอนุญาต 122 ฉบับ ซึ่งถือครองโดยผู้ให้บริการทั้งหมด 8 ราย โดนยกเลิก ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในอินเดียไม่น้อยกว่า 5% จากทั้งหมด 894 ล้านคน
ตลาดอินเดียถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดและประกอบไปด้วยผู้ให้บริการมากกว่า 12 ราย
ผู้ นำตลาดอย่าง "บาร์ติ แอร์เทล" (Bharti Airtel) และบริษัทสัญชาติอังกฤษ "โวดาโฟน" (Vodafone) ได้ประโยชน์จากคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งในเดือนมกราคมที่ผ่านมาทั้งคู่เพิ่งชนะคดีเมื่อศาลสูงสุดของอินเดีย ตัดสินว่า ทั้งคู่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการจ่ายภาษีมูลค่า 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม การเพิกถอนใบอนุญาตในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อบริษัทยูนิเทค ไวร์เลส บริษัทร่วมทุนระหว่าง "เทเลนอร์" สัญชาตินอร์เวย์ และบริษัท "ยูนิเทค" ของอินเดีย ซึ่งถือเป็นโอเปอเรเตอร์หน้าใหม่ที่กำลังรุกหนักในตลาด และมียอดผู้ใช้บริการมากกว่า 36 ล้านคน
ตัวแทนของยูนิเทคกล่าวถึง เหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "เราได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม เพราะสิ่งที่ทำมาเป็นไปตามกระบวนการของรัฐบาลทั้งนั้น เราสะเทือนใจที่เห็นบริษัทโดนลงโทษจากศาล โดยมีสาเหตุมาจากความผิดพลาดในกระบวนการทำงานของภาครัฐ"
นอกจากนี้ ยังกระทบต่อบริษัทโทรคมนาคมรายอื่น ๆ ซึ่งร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติอินเดีย เช่น เอติซาแลตจากเมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซิสเทม่าของรัสเซีย ซึ่งคาดว่าบริษัทที่ได้รับผลกระทบเหล่านี้คงต้องออกมาคัดค้านคำตัดสินดัง กล่าวของศาลสูงสุดแน่นอน
"สำหรับนักลงทุนต่างชาตินี่ถือเป็นข่าวร้าย มาก ๆ พวกเขาทำอะไรผิด เขาเข้ามาจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทในอินเดีย นำเงินมาลงทุนเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ทั้งยังปฏิบัติตามกระบวนการของภาครัฐตลอดเวลาด้วย" ริชิ ซาไฮ หัวหน้าฝ่ายให้คำปรึกษา บริษัทโคเก้นซ์ แอดไวเซอร์สกล่าว
ผู้ให้ บริการที่ถือครองใบอนุญาตซึ่งโดนสั่งเพิกถอนสามารถให้บริการบนเครือข่ายดัง กล่าวไปได้อีก 4 เดือน ก่อนที่คำสั่งศาลจะมีผลบังคับใช้ โดยศาลมอบหมายให้ผู้กำกับกิจการโทรคมนาคมของอินเดียร่างคำแนะนำใหม่สำหรับ การจัดสรรปันส่วนใบอนุญาตและคลื่นความถี่ จากนั้นรัฐบาลต้องพิจารณาข้อเสนอภายใน 1 เดือน เพื่อเริ่มประมูลใบอนุญาตใหม่
ถึงแม้การให้บริการบนเครือข่าย โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G จะมีให้เห็นในประเทศอินเดียแล้ว แต่ผู้ใช้บริการจำนวนมากยังคงใช้งานบนเทคโนโลยีแบบพื้นฐาน ดังนั้นจึงน่าจะมีความต้องการสูงในการประมูลใบอนุญาตใหม่บนเครือข่าย 2G มากกว่า
ศาลยังกล่าวเพิ่มเติมว่า โอเปอเรเตอร์ ต้องประมูลใบอนุญาตใหม่ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ แต่ยังไม่มีความชัดเจน ว่ารัฐบาลจะต้องจ่ายเงินชดเชยให้บริษัทร่วมทุนที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ หรือไม่
ขณะที่ฝั่งผู้บริโภคซึ่งใช้บริการกับเครือข่ายที่จะโดนยก เลิกใบอนุญาตในอนาคต หัวหน้าฝ่ายกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมของอินเดียแนะนำว่า ให้โยกย้ายหมายเลขไปสู่ผู้ให้บริการรายอื่นตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ภายในระยะเวลา 4 เดือน
การประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่ครั้งใหม่น่าจะ ทำให้รัฐบาลอินเดียซึ่งกำลังขาดดุลอยู่ในขณะนี้ได้เงินก้อนใหม่เป็นมูลค่า หลายพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการตัดสินของศาลครั้งนี้มีผลสืบเนื่องมาจากผลงานอันน่าขายหน้าของรัฐบาล อินเดียในยุคที่มีนายแมนโมฮาน ซิง เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งภายหลังโดนตรวจสอบว่ามีการขายใบอนุญาตในระดับราคาที่ต่ำเกินมาตรฐานตลาด ทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียรายได้ไปประมาณ 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่ง ผลต่อเนื่องไปสู่ปัญหาการเมืองภายในประเทศอินเดีย โดยเหตุการณ์อื้อฉาวในกิจการโทรคมนาคมถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สุดที่มีการเปิด โปงในยุคการทำงานของนายกรัฐมนตรีซิงสมัยที่ 2 และทำให้เกิดการเดินขบวนประท้วงบนท้องถนนในปี 2554
"พารานจอย กูฮา ทาเคอร์ต้า" นักวิเคราะห์ด้านการเมืองของอินเดียกล่าวว่า เป็นการตัดสินที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ เพราะพยายามทำลายการคอร์รัปชั่นที่อยู่ระหว่างการทำธุรกิจและการเมืองของ อินเดีย
รัฐมนตรี 2 คนของอินเดียได้ประกาศลาออกจากเหตุการณ์ดังกล่าว รวมถึงอดีตรัฐมนตรีโทรคมนาคม
"อันดิมูตุ ราจา" ที่รับผิดชอบในกระบวนการประมูลใบอนุญาตเมื่อปี 2551 โดยขณะนี้เขาโดนจำคุกและกำลังอยู่ระหว่างรอการไต่สวน
แม้ คำตัดสินของศาลสูงสุดอาจทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลกับความไม่แน่นอนของการ ทำธุรกิจในประเทศ อินเดียซึ่งถือว่ามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของทวีปเอเชีย แต่ก็ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับบทบาทของ
ศาลยุติธรรมและความพยายามของประเทศอินเดียที่ต้องการปราบปรามการคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังมากขึ้น
"คามเลช บาเทีย" หัวหน้าการวิจัยของการ์ตเนอร์ในมุมไบ แสดงความเห็นว่า นี่ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวของอินเดียไปสู่การทำนโยบายแบบโปร่งใส
"คา พิล ซิบาล" รัฐมนตรีกระทรวงโทรคมนาคมคนปัจจุบันกล่าวว่า ในที่สุดอินเดียก็สามารถยุติเรื่องราวความสับสนที่เคยเป็นตัวควบคุมตลาดได้ ทั้งยืนยันว่า คำตัดสินนี้จะทำให้ธุรกิจโทรคมนาคมมีความชัดเจนขึ้น และคลื่นความถี่จะจัดสรรผ่านการประมูลเท่านั้น ไม่ใช่ในรูปแบบมาก่อนได้ก่อนซึ่งศาลมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติอีกต่อไป
การ ประมูลใบอนุญาตคลื่นความถี่จำนวน 122 ใบ น่าจะมีมูลค่าประมาณ 22,700 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะในส่วนการประมูลใบอนุญาต 3G ในปี 2553 ส่วนการประมูลคลื่นความถี่แบบ 2G น่าจะมีมูลค่าต่ำกว่านี้
อินเดีย ถือเป็นประเทศที่มีตลาดการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก หากนับจากจำนวนผู้ใช้งานซึ่งมีประมาณ 894 ล้านคน ณ เดือนธันวาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดส่งผลให้อินเดียเป็นหนึ่งในตลาดที่มีอัตราการ เก็บค่าบริการถูกที่สุดตามไปด้วย
เว็บไซต์เทเลคอมพีเคดอตเน็ตออกมา แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า ประเด็นการคอร์รัปชั่นและการเล่นพรรคเล่นพวกเป็นปัญหาหลักในประเทศกำลัง พัฒนาหลายประเทศ ซึ่งประเทศแถบเอเชียอย่างอินเดียต้องประสบปัญหานี้ด้วยเช่นกัน
สิ่ง ที่เกิดขึ้นกับอินเดียได้ให้บทเรียนสำคัญ 5 เรื่อง 1.คุณธรรมและความโปร่งใสควรเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งในตลาดโทรคมนาคมของ ประเทศกำลังพัฒนา 2.การกำหนดบทบาทของผู้กำกับกิจการโทรคมนาคมสามารถสร้างหรือพังการประกอบ ธุรกิจได้ 3.พึงระลึกไว้ว่าคลื่นความถี่เป็นทรัพยากรที่มีค่าของประเทศ และควรจัดสรรด้วยความเป็นธรรม 4.ผู้ถือหุ้นของบริษัทโทรคมนาคมควรยึดถือจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจเป็น อันดับแรก และสุดท้าย การนำทุนและรูปแบบการบริหารจากเอกชนมาใส่ในกิจกรรมภาครัฐควรทำด้วยความระมัด ระวัง
บทเรียนจาก "อินเดีย" จึงนับว่ามีประโยชน์ต่อประเทศไทยด้วยเช่นกัน
ในห้วงเวลาที่การประมูลใบอนุญาตกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในอีกไม่ช้าไม่นาน
ประชาชาติธุรกิจ // คอลัมน์ click world
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1329195188&grpid=&catid=06&subcatid=
ไม่มีความคิดเห็น: