18 มกราคม 2555 กูรูชำแหละแผนแม่บท กสทช. เนื้อหาไม่ครอบคลุมธุรกิจผูกขาด ผู้บริโภคโดนเอาเปรียบ
กูรูชำแหละแผนแม่บท กสทช. เนื้อหาไม่ครอบคลุมธุรกิจผูกขาด ผู้บริโภคโดนเอาเปรียบ
ประเด็นหลัก
นายอดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ กรรมการอำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้งคอเปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน)
โดย ทั้งนี้การร่างแผนแม่บทฯ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้สนใจในเรื่องของเนื้อหาในการเสนอต่อผู้บริโภค ซึ่งมองว่าควรที่จะมีการออกใบอนุญาตกำหนดเนื้อหาในการนำเสนอ โทรทัศน์ให้มีความชัดเจน อาทิ อาจจะมีการกำหนดไว้ 10 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นไลเซนส์ในเรื่องของคุณภาพ การศึกษา เด็กและเยาวชน หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรม ที่ควรจะมีการออกเงื่อนไขให้มีความแตกต่างกัน มีระยะเวลาในการใช้คลื่นที่แตกต่างกัน หากไลเซ่นไหนที่อยู่ในความบันเทิงก็ควรที่จะตั้งเงื่อนไขที่สูงก ว่า อายุสั้นกว่า เพราะเนื่องจากหากให้ใบอนุญาตในระยะที่ยาวอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ฝากยึด 3 ข้อหลักเพื่อองค์กร
น.ส.สุวรรรณา สมบัติรักษาสุข ประธานสภาวิชาชีพข่าวและโทรทัศน์ไทย
สำหรับ ภาควิชาชีพนั้นต้องการที่จะให้ กสทช. ไปพิจารณาว่า ได้ให้ความสำคัญกับการจัดสรรคลื่นความถี่มากเกินไปหรือไม่ ซึ่งเมื่อดูภาพรวมแล้วคลื่นความถี่ยังมีเหลืออยู่ค่อนข้างมาก แต่ยังขาดการจัดสรรประเภทให้ได้ก่อน แต่กลับพบว่ายังขาดในเรื่องของการนำคอนเทนส์เข้ามาแก้ไขและกำกับดู แล โดยการผลิตคอนเทนส์นั้นต้องได้รับความน่าเชื่อถือ สามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผ่านมานั้นมองเห็นว่า กสทช.ยังไม่ได้มีวิธีการกำกับและดูแล แต่เป็นเพียงการใช้วิธีควบคุม จึงทำให้ไม่มีแผนเรื่องของการนำเสนอคอนเทนส์นี้ออกมา
_________________________________________________________
กูรูชำแหละแผนแม่บท กสทช. เนื้อหาไม่ครอบคลุมธุรกิจผูกขาด ผู้บริโภคโดนเอาเปรียบ
สถาบัน อิสราผนึกกำลังกับคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดหนัก กสทช.ผ่านเวทีสัมมนา X-ray ก้าวแรก กสทช. โดยมีหลายภาคส่วน อาทิ บ.เนชั่นบรอดแคสติ้ง คอเปอร์เรชั่น บ.เจริญเคเบิลทีวี สภาวิชาชีพข่าววิทยุ-โทรทัศน์ไทย และมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ส่งเสียงร้องท้วงถามแผนแม่บทฯ มีหน้าที่แค่จัดสรรคลื่น แต่กลับละเลยคอนเทนต์ที่มีบทบาทมากที่สุดในการนำเสนอของสื่อสาธารณะ
แนะเพิ่มคอนเทนต์
นาย วิชิต เอื้ออารีวรกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เจริญเคเบิลทีวี เปิดเผยว่า จากที่ผ่านมาที่มีการเดินหน้าจัดทำร่างแผนแม่บททั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ แผนแม่บทคลื่นความถี่ แผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ และแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นแผนแม่บทสำคัญในการดำเนินงานของ กสทช. ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 หรือ พ.ร.บ.กสทช. ที่ได้บรรจุหน้าที่เดี่ยวกับวิทยุกระจายเสียง วิสัยทัศน์ และพันธกิจต่างๆ ออกมา โดยในความเป็นจริงแล้วมีแค่เพียง 2 หน้าที่หลักๆ คือ 1.การดูแลเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่และ 2.การกำกับดูแลกิจการ ซึ่งทั้ง 2 หน้าที่นี้ไม่ได้มีการบริการจัดสรรคลื่นความถี่ให้กับเคเบิลทีวี และดาวเทียม แต่กลับไม่ได้รับการจัดสรรเหมือนกับช่องฟรีทีวีอื่นๆ โดย กสทช.เองมีหน้าที่ในการดูแลเรื่องการออกใบอนุญาต และดูแลไม่ให้สายของเคเบิลไปรบกวนคลื่นที่ได้รับการจัดสรรจาก กสทช . โดยทาง กสทช.ควรที่จะกำหนดทิศทางและแนวนโยบายในการควบคุมดูแลเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียมที่ชัดเจนมากกว่านี้ เพราะเนื่องจากในปัจจุบันร่างแผนแม่บทฯ ที่ กสทช.จัดทำขึ้นนั้นยังไม่ได้ควบคุมเรื่องการนำเสนอคอนเทนต์ หรือเนื้อหามากนัก เพราะเนื่องจากในอนาคตโทรทัศน์ของประเทศไทยจะมีช่องมากขึ้น โดยในปัจจุบันพบว่าร่างแผนแม่บทฯ นั้น 95% เป็นเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่มากกว่าการควบคุมเนื้อหาที่นำเสนอ ผ่านสื่อต่างๆ
ซึ่งทางผู้ประกอบการเคเบิลทีวีมองว่า ในอนาคตผู้บริโภคจะมีพฤติกรรมการบริโภคช่องฟรีทีวี 6 ช่อง ที่ในอนาคตมีแนวโน้มลดน้อยลงเรื่อยๆ โดยผู้บริโภคจะเริ่มมานิยมบริโภคเคเบิลและดาวเทียม ที่มีมากว่า 100 ช่อง เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เรื่องการควบคุมเนื้อหาในการนำเสนอจึงจำเป็นที่ทาง กสทช. จะต้องนำมาบรรจุไว้ในร่างของแผนแม่บทฯ ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันคอนเทนส์มีหัวใจหลักๆ ในการที่จะนำเสนอหรือไม่ คือ เงินที่จะเป็นตัวกำหนดและเป็นกลไกในการควบคุมซึ่งมีเงินสะพัดอยู่ ในตลาดมากกว่า 1 แสนล้านบาท/ปี โดยมีอีเจนซี่ เป็นตัวควบคุม โดยมีบริษัทต่างชาติกำหนดทิศทางธุรกิจโฆษณาในประเทศไทยทั้งหมด
ต้องควบคุมเข้มเนื้อหา
นาย อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ กรรมการอำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้งคอเปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในอีก 3-5 ปี การบริโภคช่องฟรีทีวีหรือไม่นั้นจะแยกกันไม่ออก เพราะเนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคโทรทัศน์ในต่างจังหวัดจะมีการติด ตั้งจานดาวเทียม ทำให้ไม่เห็นภาพว่าเป็นการรับชมผ่านแบบไหน ทั้งนี้มีเมื่อเปรียบเทียบทางด้านเชิงปริมาณในปี 2553 เกิดอัตราการโทรทัศน์ในทุกๆ 5 วัน เกิด 1 ช่อง และทำให้ในสิ้นปี 2554 ไทยคมมีช่องโทรทัศน์เกิดขึ้น 90 ช่อง เพราะเนื่องจากความนิยมของเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียมมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดเพียงแค่ฟรีทีวีเท่านั้นแล้ว เพราะสามารถตอบสนองผู้บริโภคได้เท่าเทียมกันแต่มีความหลากหลายของ เนื้อหาที่มากกว่า 200 กว่าช่องทั่วประเทศ และมากที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 250 ช่องทั่วประเทศ และมองว่าการจัดสรรคลื่นความถี่โดย กสทช.ในอนาคตก็อาจจะไม่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจนี้มากนัก เนื่องจากยังมีช่องทางในการประกอบธุรกิจเช่นเดียวกันได้
โดย ทั้งนี้การร่างแผนแม่บทฯ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้สนใจในเรื่องของเนื้อหาในการเสนอต่อผู้บริโภค ซึ่งมองว่าควรที่จะมีการออกใบอนุญาตกำหนดเนื้อหาในการนำเสนอ โทรทัศน์ให้มีความชัดเจน อาทิ อาจจะมีการกำหนดไว้ 10 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นไลเซนส์ในเรื่องของคุณภาพ การศึกษา เด็กและเยาวชน หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรม ที่ควรจะมีการออกเงื่อนไขให้มีความแตกต่างกัน มีระยะเวลาในการใช้คลื่นที่แตกต่างกัน หากไลเซ่นไหนที่อยู่ในความบันเทิงก็ควรที่จะตั้งเงื่อนไขที่สูงก ว่า อายุสั้นกว่า เพราะเนื่องจากหากให้ใบอนุญาตในระยะที่ยาวอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ฝากยึด 3 ข้อหลักเพื่อองค์กร
น.ส.สุว รรรณา สมบัติรักษาสุข ประธานสภาวิชาชีพข่าวและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีบทบาทในการเป็นกรรมการสรรหาคัดเลือก กสทช. 11 คน ซึ่งถือว่าได้มองเห็นมาตั้งแต่เริ่มต้นแต่เมื่อหมดบทบาทแล้ว ทั้งนี้สำหรับมุมมองของเรื่องการถือครองคลื่นในประเทศไทยนั้นยังไม่ เปลี่ยนแปลง โดยมีกลุ่มผู้ที่มีอำนาจกำกับ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งประกอบ
ธุรกิจ โดยในขณะที่ผ่านมากลุ่มที่เรียกร้องมาประมาณ 10 ปี คือ กลุ่มประชาชนที่รวมกันผลัดกันให้ กสทช. เกิดขึ้นมา โดย กสทช.จำเป็นต้องยึดองค์ประกอบทั้ง 3 ข้อ คือ 1.หลักจริยธรรมขององค์กรที่ กสทช. จะต้องพึงมี ต้องมีความเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับการคัดสรรมา โดยที่ผ่านมาเห็นการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ต้องได้รับการถูกตรวจสอบจากประชาชน เพราะเนื่องจากเป็นองค์กรอิสระ และเรื่องของการเปลี่ยนแปลงบุคลากรในองค์กรให้มีการทำงานที่รวด เร็ว เนื่องจากการสื่อสารต้องการความรวดเร็วอย่างมาก
หาก กสทช. ทำงานโดยยึดเอาระบบราชการมาใช้โดยรอคำสั่ง สำหรับเรื่องของการรับฟังความคิดเห็นมองว่า การสื่อสารของ กสทช. ยังไม่สามารถที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจในตัวกฎหมาย ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นนั้นเอา วัตถุประสงค์ของแผ่นแม่บทมาอธิบาย แต่ยังขาดเรื่องการนำมาปฏิบัติ นอกจากนี้ในเรื่องการคืนคลื่นความถี่ 6,600 คลื่นที่ กสทช. จะต้องรียกคืนนั้น มองว่าต้องจัดสรรคลื่นออกมาเป็นประเภทก่อน 2.การพัฒนาโครงสร้าง กสทช. 3.เมื่อเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากการสัมมนาแล้วนำเอาไปปฏิบัติ หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเสียงของประชาชนในส่วนน้อย ไม่เคยที่จะนำความคิดเห็นไปหาแนวทางแก้ไขเลย
สำหรับภาค วิชาชีพนั้นต้องการที่จะให้ กสทช. ไปพิจารณาว่า ได้ให้ความสำคัญกับการจัดสรรคลื่นความถี่มากเกินไปหรือไม่ ซึ่งเมื่อดูภาพรวมแล้วคลื่นความถี่ยังมีเหลืออยู่ค่อนข้างมาก แต่ยังขาดการจัดสรรประเภทให้ได้ก่อน แต่กลับพบว่ายังขาดในเรื่องของการนำคอนเทนส์เข้ามาแก้ไขและกำกับดู แล โดยการผลิตคอนเทนส์นั้นต้องได้รับความน่าเชื่อถือ สามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผ่านมานั้นมองเห็นว่า กสทช.ยังไม่ได้มีวิธีการกำกับและดูแล แต่เป็นเพียงการใช้วิธีควบคุม จึงทำให้ไม่มีแผนเรื่องของการนำเสนอคอนเทนส์นี้ออกมา
สุด ท้ายเสียงจากผู้บริโภคที่ได้ น.ส.บุญยืน ศิริพันธ์ เปิดใจว่า เป็นหนึ่งที่คาดหวังต่อนั้นย่อมมีมากกว่า กทช. เมื่อในอดีต พร้อมทั้งประชาชนผู้บริโภคต้องได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่าเดิม ซึ่งที่ผ่านมาเสียใจ ที่เรื่องการต่อการทดลองออกอากาศวิทยุชุมชน ที่ยังไม่ได้มีการแยกประเภทออกมา โดยมองว่าวิทยุชุมชนนั้นมีอิทธิพลต่อชนบทเป็นอย่างมาก เพราะเนื่องจากเป็นแหล่งของการโฆษณาที่หลอกลวงที่ใหญ่ที่สุด ทั้งนี้มองว่าหลายภาคส่วนควรที่จะร่วมมือกันออกการกำกับและดูแลเนื้อหา ให้มีความบรูณาการอีกด้วย
บ้านเมือง
http://www.ryt9.com/s/bmnd/1323857
ประเด็นหลัก
นายอดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ กรรมการอำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้งคอเปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน)
โดย ทั้งนี้การร่างแผนแม่บทฯ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้สนใจในเรื่องของเนื้อหาในการเสนอต่อผู้บริโภค ซึ่งมองว่าควรที่จะมีการออกใบอนุญาตกำหนดเนื้อหาในการนำเสนอ โทรทัศน์ให้มีความชัดเจน อาทิ อาจจะมีการกำหนดไว้ 10 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นไลเซนส์ในเรื่องของคุณภาพ การศึกษา เด็กและเยาวชน หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรม ที่ควรจะมีการออกเงื่อนไขให้มีความแตกต่างกัน มีระยะเวลาในการใช้คลื่นที่แตกต่างกัน หากไลเซ่นไหนที่อยู่ในความบันเทิงก็ควรที่จะตั้งเงื่อนไขที่สูงก ว่า อายุสั้นกว่า เพราะเนื่องจากหากให้ใบอนุญาตในระยะที่ยาวอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ฝากยึด 3 ข้อหลักเพื่อองค์กร
น.ส.สุวรรรณา สมบัติรักษาสุข ประธานสภาวิชาชีพข่าวและโทรทัศน์ไทย
สำหรับ ภาควิชาชีพนั้นต้องการที่จะให้ กสทช. ไปพิจารณาว่า ได้ให้ความสำคัญกับการจัดสรรคลื่นความถี่มากเกินไปหรือไม่ ซึ่งเมื่อดูภาพรวมแล้วคลื่นความถี่ยังมีเหลืออยู่ค่อนข้างมาก แต่ยังขาดการจัดสรรประเภทให้ได้ก่อน แต่กลับพบว่ายังขาดในเรื่องของการนำคอนเทนส์เข้ามาแก้ไขและกำกับดู แล โดยการผลิตคอนเทนส์นั้นต้องได้รับความน่าเชื่อถือ สามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผ่านมานั้นมองเห็นว่า กสทช.ยังไม่ได้มีวิธีการกำกับและดูแล แต่เป็นเพียงการใช้วิธีควบคุม จึงทำให้ไม่มีแผนเรื่องของการนำเสนอคอนเทนส์นี้ออกมา
_________________________________________________________
กูรูชำแหละแผนแม่บท กสทช. เนื้อหาไม่ครอบคลุมธุรกิจผูกขาด ผู้บริโภคโดนเอาเปรียบ
สถาบัน อิสราผนึกกำลังกับคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดหนัก กสทช.ผ่านเวทีสัมมนา X-ray ก้าวแรก กสทช. โดยมีหลายภาคส่วน อาทิ บ.เนชั่นบรอดแคสติ้ง คอเปอร์เรชั่น บ.เจริญเคเบิลทีวี สภาวิชาชีพข่าววิทยุ-โทรทัศน์ไทย และมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค ส่งเสียงร้องท้วงถามแผนแม่บทฯ มีหน้าที่แค่จัดสรรคลื่น แต่กลับละเลยคอนเทนต์ที่มีบทบาทมากที่สุดในการนำเสนอของสื่อสาธารณะ
แนะเพิ่มคอนเทนต์
นาย วิชิต เอื้ออารีวรกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เจริญเคเบิลทีวี เปิดเผยว่า จากที่ผ่านมาที่มีการเดินหน้าจัดทำร่างแผนแม่บททั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ แผนแม่บทคลื่นความถี่ แผนแม่บทกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ และแผนแม่บทกิจการโทรคมนาคม ซึ่งเป็นแผนแม่บทสำคัญในการดำเนินงานของ กสทช. ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่กำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 หรือ พ.ร.บ.กสทช. ที่ได้บรรจุหน้าที่เดี่ยวกับวิทยุกระจายเสียง วิสัยทัศน์ และพันธกิจต่างๆ ออกมา โดยในความเป็นจริงแล้วมีแค่เพียง 2 หน้าที่หลักๆ คือ 1.การดูแลเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่และ 2.การกำกับดูแลกิจการ ซึ่งทั้ง 2 หน้าที่นี้ไม่ได้มีการบริการจัดสรรคลื่นความถี่ให้กับเคเบิลทีวี และดาวเทียม แต่กลับไม่ได้รับการจัดสรรเหมือนกับช่องฟรีทีวีอื่นๆ โดย กสทช.เองมีหน้าที่ในการดูแลเรื่องการออกใบอนุญาต และดูแลไม่ให้สายของเคเบิลไปรบกวนคลื่นที่ได้รับการจัดสรรจาก กสทช . โดยทาง กสทช.ควรที่จะกำหนดทิศทางและแนวนโยบายในการควบคุมดูแลเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียมที่ชัดเจนมากกว่านี้ เพราะเนื่องจากในปัจจุบันร่างแผนแม่บทฯ ที่ กสทช.จัดทำขึ้นนั้นยังไม่ได้ควบคุมเรื่องการนำเสนอคอนเทนต์ หรือเนื้อหามากนัก เพราะเนื่องจากในอนาคตโทรทัศน์ของประเทศไทยจะมีช่องมากขึ้น โดยในปัจจุบันพบว่าร่างแผนแม่บทฯ นั้น 95% เป็นเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่มากกว่าการควบคุมเนื้อหาที่นำเสนอ ผ่านสื่อต่างๆ
ซึ่งทางผู้ประกอบการเคเบิลทีวีมองว่า ในอนาคตผู้บริโภคจะมีพฤติกรรมการบริโภคช่องฟรีทีวี 6 ช่อง ที่ในอนาคตมีแนวโน้มลดน้อยลงเรื่อยๆ โดยผู้บริโภคจะเริ่มมานิยมบริโภคเคเบิลและดาวเทียม ที่มีมากว่า 100 ช่อง เมื่อพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว เรื่องการควบคุมเนื้อหาในการนำเสนอจึงจำเป็นที่ทาง กสทช. จะต้องนำมาบรรจุไว้ในร่างของแผนแม่บทฯ ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันคอนเทนส์มีหัวใจหลักๆ ในการที่จะนำเสนอหรือไม่ คือ เงินที่จะเป็นตัวกำหนดและเป็นกลไกในการควบคุมซึ่งมีเงินสะพัดอยู่ ในตลาดมากกว่า 1 แสนล้านบาท/ปี โดยมีอีเจนซี่ เป็นตัวควบคุม โดยมีบริษัทต่างชาติกำหนดทิศทางธุรกิจโฆษณาในประเทศไทยทั้งหมด
ต้องควบคุมเข้มเนื้อหา
นาย อดิศักดิ์ ลิมปรุงพัฒนกิจ กรรมการอำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้งคอเปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในอีก 3-5 ปี การบริโภคช่องฟรีทีวีหรือไม่นั้นจะแยกกันไม่ออก เพราะเนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคโทรทัศน์ในต่างจังหวัดจะมีการติด ตั้งจานดาวเทียม ทำให้ไม่เห็นภาพว่าเป็นการรับชมผ่านแบบไหน ทั้งนี้มีเมื่อเปรียบเทียบทางด้านเชิงปริมาณในปี 2553 เกิดอัตราการโทรทัศน์ในทุกๆ 5 วัน เกิด 1 ช่อง และทำให้ในสิ้นปี 2554 ไทยคมมีช่องโทรทัศน์เกิดขึ้น 90 ช่อง เพราะเนื่องจากความนิยมของเคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียมมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่จำกัดเพียงแค่ฟรีทีวีเท่านั้นแล้ว เพราะสามารถตอบสนองผู้บริโภคได้เท่าเทียมกันแต่มีความหลากหลายของ เนื้อหาที่มากกว่า 200 กว่าช่องทั่วประเทศ และมากที่สุดจะอยู่ที่ประมาณ 250 ช่องทั่วประเทศ และมองว่าการจัดสรรคลื่นความถี่โดย กสทช.ในอนาคตก็อาจจะไม่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจนี้มากนัก เนื่องจากยังมีช่องทางในการประกอบธุรกิจเช่นเดียวกันได้
โดย ทั้งนี้การร่างแผนแม่บทฯ ที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้สนใจในเรื่องของเนื้อหาในการเสนอต่อผู้บริโภค ซึ่งมองว่าควรที่จะมีการออกใบอนุญาตกำหนดเนื้อหาในการนำเสนอ โทรทัศน์ให้มีความชัดเจน อาทิ อาจจะมีการกำหนดไว้ 10 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นไลเซนส์ในเรื่องของคุณภาพ การศึกษา เด็กและเยาวชน หรือแม้กระทั่งวัฒนธรรม ที่ควรจะมีการออกเงื่อนไขให้มีความแตกต่างกัน มีระยะเวลาในการใช้คลื่นที่แตกต่างกัน หากไลเซ่นไหนที่อยู่ในความบันเทิงก็ควรที่จะตั้งเงื่อนไขที่สูงก ว่า อายุสั้นกว่า เพราะเนื่องจากหากให้ใบอนุญาตในระยะที่ยาวอาจก่อให้เกิดปัญหาได้
ฝากยึด 3 ข้อหลักเพื่อองค์กร
น.ส.สุว รรรณา สมบัติรักษาสุข ประธานสภาวิชาชีพข่าวและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีบทบาทในการเป็นกรรมการสรรหาคัดเลือก กสทช. 11 คน ซึ่งถือว่าได้มองเห็นมาตั้งแต่เริ่มต้นแต่เมื่อหมดบทบาทแล้ว ทั้งนี้สำหรับมุมมองของเรื่องการถือครองคลื่นในประเทศไทยนั้นยังไม่ เปลี่ยนแปลง โดยมีกลุ่มผู้ที่มีอำนาจกำกับ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งประกอบ
ธุรกิจ โดยในขณะที่ผ่านมากลุ่มที่เรียกร้องมาประมาณ 10 ปี คือ กลุ่มประชาชนที่รวมกันผลัดกันให้ กสทช. เกิดขึ้นมา โดย กสทช.จำเป็นต้องยึดองค์ประกอบทั้ง 3 ข้อ คือ 1.หลักจริยธรรมขององค์กรที่ กสทช. จะต้องพึงมี ต้องมีความเป็นผู้นำ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับการคัดสรรมา โดยที่ผ่านมาเห็นการใช้งบประมาณอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ต้องได้รับการถูกตรวจสอบจากประชาชน เพราะเนื่องจากเป็นองค์กรอิสระ และเรื่องของการเปลี่ยนแปลงบุคลากรในองค์กรให้มีการทำงานที่รวด เร็ว เนื่องจากการสื่อสารต้องการความรวดเร็วอย่างมาก
หาก กสทช. ทำงานโดยยึดเอาระบบราชการมาใช้โดยรอคำสั่ง สำหรับเรื่องของการรับฟังความคิดเห็นมองว่า การสื่อสารของ กสทช. ยังไม่สามารถที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจในตัวกฎหมาย ทั้งนี้เนื่องจากที่ผ่านมาการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นนั้นเอา วัตถุประสงค์ของแผ่นแม่บทมาอธิบาย แต่ยังขาดเรื่องการนำมาปฏิบัติ นอกจากนี้ในเรื่องการคืนคลื่นความถี่ 6,600 คลื่นที่ กสทช. จะต้องรียกคืนนั้น มองว่าต้องจัดสรรคลื่นออกมาเป็นประเภทก่อน 2.การพัฒนาโครงสร้าง กสทช. 3.เมื่อเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากการสัมมนาแล้วนำเอาไปปฏิบัติ หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเสียงของประชาชนในส่วนน้อย ไม่เคยที่จะนำความคิดเห็นไปหาแนวทางแก้ไขเลย
สำหรับภาค วิชาชีพนั้นต้องการที่จะให้ กสทช. ไปพิจารณาว่า ได้ให้ความสำคัญกับการจัดสรรคลื่นความถี่มากเกินไปหรือไม่ ซึ่งเมื่อดูภาพรวมแล้วคลื่นความถี่ยังมีเหลืออยู่ค่อนข้างมาก แต่ยังขาดการจัดสรรประเภทให้ได้ก่อน แต่กลับพบว่ายังขาดในเรื่องของการนำคอนเทนส์เข้ามาแก้ไขและกำกับดู แล โดยการผลิตคอนเทนส์นั้นต้องได้รับความน่าเชื่อถือ สามารถที่จะตรวจสอบข้อมูลได้อย่างถูกต้อง โดยที่ผ่านมานั้นมองเห็นว่า กสทช.ยังไม่ได้มีวิธีการกำกับและดูแล แต่เป็นเพียงการใช้วิธีควบคุม จึงทำให้ไม่มีแผนเรื่องของการนำเสนอคอนเทนส์นี้ออกมา
สุด ท้ายเสียงจากผู้บริโภคที่ได้ น.ส.บุญยืน ศิริพันธ์ เปิดใจว่า เป็นหนึ่งที่คาดหวังต่อนั้นย่อมมีมากกว่า กทช. เมื่อในอดีต พร้อมทั้งประชาชนผู้บริโภคต้องได้รับผลประโยชน์ที่มากกว่าเดิม ซึ่งที่ผ่านมาเสียใจ ที่เรื่องการต่อการทดลองออกอากาศวิทยุชุมชน ที่ยังไม่ได้มีการแยกประเภทออกมา โดยมองว่าวิทยุชุมชนนั้นมีอิทธิพลต่อชนบทเป็นอย่างมาก เพราะเนื่องจากเป็นแหล่งของการโฆษณาที่หลอกลวงที่ใหญ่ที่สุด ทั้งนี้มองว่าหลายภาคส่วนควรที่จะร่วมมือกันออกการกำกับและดูแลเนื้อหา ให้มีความบรูณาการอีกด้วย
บ้านเมือง
http://www.ryt9.com/s/bmnd/1323857
ไม่มีความคิดเห็น: