26 ตุลาคม 2555 (คลิกทุกครั้งต้องจ่ายเงิน)กสทช.รับมือจีน-รัสเซียเสนอที่ประชุมไอทียู ธค.นี้//วงเสวนาไอทียู//ICT-กสทช.ร่วมงาน ITUดูไบ
ประเด็นหลัก
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กสทช.ว่าวงเสวนาครั้งนี้ได้ให้ความสนใจกับการประชุม“ดับบลิวซีไอที-12” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ นครดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นการประชุมระดับโลกว่าด้วยโทรคมนาคมระหว่างประเทศสำหรับสมาชิกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือไอทียู(ITU)
Regional Bureau) กล่าวว่า ข้อเสนอในสนธิสัญญาที่สมาชิกไอทียูทั่วโลกเสนอให้ปรับแก้ 15 ข้อ มีผลกระทบที่ต้องจับตา 6 ข้อสำคัญ คือ
1.การกำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตจ่ายตามแบบ “เปย์ เปอร์ คลิก” หรือจ่ายตามจำนวนที่คลิก จากปัจจุบันจ่ายเป็นแบบค่าแพ็กเกจอินเตอร์เนต 2.กำหนดให้ผู้ให้บริการสารสนเทศจะต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับเจ้าของเครือข่ายหรือเนตเวิร์กโอเปอเรเตอร์ (SenderPay Model) ซึ่งข้อนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อต้นทุนการให้บริการต่างๆบนอินเตอร์เนต รวมถึงธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยต่างๆ
3.กำหนดให้มีการเปิดเผยประวัติการใช้งานของผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตที่จะรวมถึงกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป และผู้ประกอบการ 4.กำหนดให้มีนิยามสแปมและขยายขอบเขตของไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ให้รวมถึงสารสนเทศ 5.กำหนดให้อินเตอร์เนตอยู่ภายใต้สนธิสัญญาใหม่ เช่น การกำหนดนิยามไอซีที และคุณภาพของบริการ (ควอลิตี้ออฟ เซอร์วิส) และ 6.กำหนดให้สนธิสัญญาใหม่เป็นเชิงบังคับจากเดิมที่เป็นลักษณะสมัครใช้
นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้บริหารเว็บไซต์ kapook.com ให้ข้อมูลเสริมว่า สมัยแรกสุดผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตต้องเสียเงินเพื่อเข้าไปหาข้อมูลที่ดีๆ ต่อมาคอนเทนต์ต่างๆ ถูกนำออกมาเผยแพร่แบบสาธารณะ ส่งผลให้แนวการชำระเงินเพื่อเข้าถึงข้อมูลสูญหายไป
ในขณะที่ฝั่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ก็มองว่าผู้ที่สร้างคอนเทนต์เริ่มมีการใช้แบนด์วิดท์มากขึ้น ส่งผลให้ ISP มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มความเร็วในการใช้งานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงคอนเทนต์ ร่างข้อบังคับของ ITU ก็จะช่วยเข้ามาลดภาระของ ISP ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแทนผู้ประกอบการ
“ผู้ประกอบการใดมีคอนเทนต์ที่คนปฏิเสธไม่ได้จะมีอำนาจเหนือตลาด เช่น กูเกิลให้บริการยูทิวบ์ ถ้ามีการเปิดให้บริการ ISP โดยใช้แรงจูงใจว่าผู้ที่ต้องการรับชมยูทิวบ์แบบรวดเร็วต้องสมัครใช้บริการ เป็นแนวทางสร้างรายได้อย่างหนึ่ง”
ก่อนหน้านี้ นางสาวดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ ประเทศไทย ISOC (ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ได้จุดประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอในสนธิสัญญาที่สมาชิกไอทียูทั่วโลกเสนอให้ปรับแก้ (Draft of the Future ITRS) ที่จะนำเข้าไปเสนอในการประชุม WCIT-12 (World Conference on International Telecommunication 2012) ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งหมด 15 ข้อ ซึ่งภายในมี 6 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง
____________________________________
กสทช.รับมือ ‘จีน-รัสเซีย’ เสนอที่ประชุม ‘ไอทียู’ ธค.นี้ ให้คิดค่าบริการ ‘เนต’ แบบใหม่
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2555 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้จัดเสวนา NBTE Public?Forum ครั้ง 9 “ITU จะกำกับดูแลอินเตอร์เนต : ไทยควรมีท่าทีอย่างไร” ณ อาคารหอประชุมชั้น 2 กสทช.
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กสทช.ว่าวงเสวนาครั้งนี้ได้ให้ความสนใจกับการประชุม“ดับบลิวซีไอที-12” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ นครดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นการประชุมระดับโลกว่าด้วยโทรคมนาคมระหว่างประเทศสำหรับสมาชิกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือไอทียู(ITU)
โดยเนื้อหาหลักของงานประชุมดังกล่าวพูดถึงการเปลี่ยนแปลง “กฎเกณฑ์”และ “วิธีเก็บค่าบริการ” ในการใช้บริการอินเตอร์เนต กล่าวง่ายๆ ก็คือ ปัจจุบันผู้ใช้อินเตอร์เนตต้องจ่ายค่าบริการในรูปของแพ็กเกจอินเตอร์เนต หรือแบบเหมาจากรายเดือน แต่ที่ประชุมจะมีการเสนอแบบใหม่เมื่อผู้ใช้คลิกเข้าอินเตอร์เนตทุกครั้งผู้ใช้ต้องจ่ายสตางค์เสมือนหนึ่งการใช้บริการโทรศัพท์ปัจจุบันที่คิดตามจำนวนครั้งที่โทร.
น.ส.ดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเตอร์เนตโซไซตี้ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Internet Society Asia-Pacific
Regional Bureau) กล่าวว่า ข้อเสนอในสนธิสัญญาที่สมาชิกไอทียูทั่วโลกเสนอให้ปรับแก้ 15 ข้อ มีผลกระทบที่ต้องจับตา 6 ข้อสำคัญ คือ
1.การกำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตจ่ายตามแบบ “เปย์ เปอร์ คลิก” หรือจ่ายตามจำนวนที่คลิก จากปัจจุบันจ่ายเป็นแบบค่าแพ็กเกจอินเตอร์เนต 2.กำหนดให้ผู้ให้บริการสารสนเทศจะต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับเจ้าของเครือข่ายหรือเนตเวิร์กโอเปอเรเตอร์ (SenderPay Model) ซึ่งข้อนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อต้นทุนการให้บริการต่างๆบนอินเตอร์เนต รวมถึงธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยต่างๆ
3.กำหนดให้มีการเปิดเผยประวัติการใช้งานของผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตที่จะรวมถึงกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป และผู้ประกอบการ 4.กำหนดให้มีนิยามสแปมและขยายขอบเขตของไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ให้รวมถึงสารสนเทศ 5.กำหนดให้อินเตอร์เนตอยู่ภายใต้สนธิสัญญาใหม่ เช่น การกำหนดนิยามไอซีที และคุณภาพของบริการ (ควอลิตี้ออฟ เซอร์วิส) และ 6.กำหนดให้สนธิสัญญาใหม่เป็นเชิงบังคับจากเดิมที่เป็นลักษณะสมัครใช้
“แนวคิดเปย์ เปอร์ คลิก เป็นเรื่องที่มีหลายประเทศเสนอ โดยเฉพาะประเทศใหญ่เช่น จีน และรัสเซีย ที่ต้องการจะควบคุมอินเตอร์เนต แต่สถานะตอนนี้คือยังไม่มีร่างกฎเกณฑ์สุดท้ายของไอทียู มีแต่ข้อเสนอแก้ไข 15 ข้อ และจะให้ทุกประเทศเข้าโหวตในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ที่ดูไบ ซึ่งแม้ว่าไทยจะแสดงทีท่าจะอยู่ตรงกลาง ไม่สนับสนุนใครเป็นพิเศษ แต่สุดท้ายแล้วไทยจำเป็นที่จะต้องโหวต ดังนั้นช่วงเวลาตอนนี้จึงต้องหาท่าทีที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงในข้อไหนอย่างไร” น.ส.ดวงทิพย์ กล่าว
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกสทช. กล่าวว่า บทบาทของ กสทช.ในขณะนี้ทำได้เพียงเสนอแนะข้อมูล เนื่องจากขอบเขตการกำกับดูแลยังไม่ครอบคลุมถึงการกำกับดูแลอินเตอร์เนต ซึ่งโดยภาพรวมแล้ว กสทช.ควรเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำกับดูแล แต่ในทางปฏิบัติอาจทำได้เพียงทำงานร่วมกับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ให้ใกล้ชิดมากขึ้นเท่านั้น ส่วนจะมีบทบาทที่มากกว่านี้ในอนาคตอาจต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อให้ กสทช.มีอำนาจที่ครอบคลุมมากขึ้น
ขณะที่ อาจารย์กาญจนา กาญจนสุตอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) กล่าวว่าโลกอินเตอร์เนต เมื่อกว่า 20 ปี ก่อนดูแลด้วยกลไกโครงสร้างของเทคโนโลยีเป็นหลักแต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนอินเตอร์เนตปัจจุบันกลายเป็นโครงสร้างที่รัฐ หรือองค์กร เช่น ไอทียู พยายามจะเข้ามามีบทบาทดูแลมากขึ้น และเป็นเรื่องที่ไทยจำเป็นต้องหาจุดยืน
นายอาจิน จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักกิจการระหว่างประเทศสำนักปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า ในส่วนของ กระทรวงไอซีที ถ้ามีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายแล้ว ผู้ประกอบการไทยไม่ยอมรับทางกระทรวงก็คงไม่ยอมรับหลักเกณฑ์ของไอทียู ซึ่งความจริงไทยเราก็มีกฎหมายด้านไอซีทีกำกับดูแลอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องความปลอดภัยบนอินเตอร์เนตด้วย
“ถ้าเรารับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายแล้วเห็นว่ารับไม่ได้ ไอซีที ก็คงยอมรับไม่ได้เหมือนกันเพราะเราไม่ใช่นักธุรกิจ ซึ่งตอนนี้ไอซีทีก็มีกฎหมายดูอยู่ รวมถึงเรื่องของซีเคียวริตี้ด้วย” นายอาจิน กล่าว
แนวหน้า
http://www.ryt9.com/s/nnd/1516715
____________________________
ถกอนาคตอินเทอร์เน็ตไทยภายใต้ไอทียูใหม่
วงเสวนาไอทียูยังไม่ชี้ชัดเรื่องข้อบังคับโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITRs) ด้านตัวแทนไอซีทีย้ำชัดไม่ต้องกังวล ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยก็จะไม่ลงนามในสนธิสัญญา ฝั่งตัวแทนผู้ประกอบการมองร่างดังกล่าวช่วยสร้างประโยชน์ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
โดยภายในเวทีเสวนา NBTC Public Forum ครั้งที่ 9 “ITU จะกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต : ไทยควรมีท่าทีอย่างไร” จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อหาแนวทางออกสำหรับประเทศไทยในสนธิสัญญาฉบับใหม่ของไอทียู
ดร.อาจิณ จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักกิจการระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า คณะทำงานของกระทรวงทราบว่าทุกเรื่องมีขั้นตอนในการจัดการอยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดผลกระทบ เนื่องจากทางกระทรวงรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน ซึ่งในกรณีที่เห็นว่าไม่เหมาะสมก็พร้อมที่จะไม่เซ็นรับสนธิสัญญาดังกล่าว เพราะไอซีทีก็มีกฎหมายควบคุมอยู่
ขณะที่กาญจนา กาญจนสุต อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มองว่า ปัจจุบันการให้บริการอินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนไปกลายเป็นโครงสร้างที่รัฐหรือองค์กรที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง หลายๆ ผู้ประกอบการมีโครงข่ายเป็นของตนเอง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานจึงควรต้องมีหน่วยงานออกมากำกับดูแล
นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้บริหารเว็บไซต์ kapook.com ให้ข้อมูลเสริมว่า สมัยแรกสุดผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตต้องเสียเงินเพื่อเข้าไปหาข้อมูลที่ดีๆ ต่อมาคอนเทนต์ต่างๆ ถูกนำออกมาเผยแพร่แบบสาธารณะ ส่งผลให้แนวการชำระเงินเพื่อเข้าถึงข้อมูลสูญหายไป
ในขณะที่ฝั่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ก็มองว่าผู้ที่สร้างคอนเทนต์เริ่มมีการใช้แบนด์วิดท์มากขึ้น ส่งผลให้ ISP มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มความเร็วในการใช้งานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงคอนเทนต์ ร่างข้อบังคับของ ITU ก็จะช่วยเข้ามาลดภาระของ ISP ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแทนผู้ประกอบการ
“ผู้ประกอบการใดมีคอนเทนต์ที่คนปฏิเสธไม่ได้จะมีอำนาจเหนือตลาด เช่น กูเกิลให้บริการยูทิวบ์ ถ้ามีการเปิดให้บริการ ISP โดยใช้แรงจูงใจว่าผู้ที่ต้องการรับชมยูทิวบ์แบบรวดเร็วต้องสมัครใช้บริการ เป็นแนวทางสร้างรายได้อย่างหนึ่ง”
ก่อนหน้านี้ นางสาวดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ ประเทศไทย ISOC (ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ได้จุดประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอในสนธิสัญญาที่สมาชิกไอทียูทั่วโลกเสนอให้ปรับแก้ (Draft of the Future ITRS) ที่จะนำเข้าไปเสนอในการประชุม WCIT-12 (World Conference on International Telecommunication 2012) ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งหมด 15 ข้อ ซึ่งภายในมี 6 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง
ซึ่งทั้ง 6 ข้อประกอบไปด้วย 1. กำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจ่ายตามการใช้แบบ Pay Per Click 2. กำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจะต้องจ่ายค่าใช้งานให้เจ้าของเครือข่าย หรือเน็ตเวิร์กโอเปอเรเตอร์ (Sender Pay Model) 3. กำหนดให้มีการเปิดเผยประวัติการใช้งานของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต 4. กำหนดให้มีนิยามสแปม และขยายขอบเขตการรักษาความปลอดภัยให้ครอบคลุมมากขึ้น 5. กำหนดให้อินเทอร์เน็ตอยู่ภายใต้สนธิสัญญาใหม่ รวมถึงการกำหนดนิยาม ICT/Quality of Service ให้ชัดเจน และ 6. กำหนดให้สนธิสัญญาใหม่เป็นเชิงบังคับ จากเดิมที่เป็นลักษณะสมัครใช้
โดยเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อวงการอินเทอร์เน็ตประเทศไทย และออกมาให้ความสนใจเกี่ยวกับข้อเสนอใหม่ของไอทียูคงหนีไม่พ้นเรื่องของการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตทุกครั้งต้องเสียเงินที่ถูกเสนอขึ้นมาจากหลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศขนาดใหญ่อย่างจีน และรัสเซีย หรือประเทศเล็กๆ อย่างฟิจิ ที่ต้องการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ
“เรื่องทั้งหมดยังเป็นร่างข้อตกลงที่จะนำเข้าเสนอ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ข้อความที่สามารถตีความได้แบบกว้างๆ เพื่อให้สามารถนำมาซึ่งผลสรุปในการประชุมใหญ่ ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงต้องหาท่าทีที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะยอมรับในข้อเสนอใดบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องออกเสียงในการประชุมดังกล่าว”
ทั้งนี้ ขั้นตอนในการนำข้อเสนอร่วมเข้าสู่ที่ประชุม WCIT-12 จะถูกรวบรวมโดยกลุ่มประเทศสมาชิก ซึ่งเป็นเวทีกลาง โดยประเทศไทยอยู่ในกลุ่มองค์กรโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Asia Pacific Telecomminity : APT) หลังจากที่แต่ละประเทศพิจารณาร่างข้อบังคับแล้วมีประเทศสมาชิกอย่างน้อย 1 ใน 4 เห็นด้วย ร่างข้อเสนอดังกล่าวก็จะเป็นข้อเสนอร่วม (APT Common Proposal : ACP) แต่ขณะเดียวกันไอทียูก็เปิดให้ประเทศสมาชิกสามารถยื่นเรื่องตรงโดยไม่ต้องผ่านเวทีกลางได้
สำหรับข้อบังคับโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Regulations : ITRs) ถือเป็นข้อบังคับทั่วไปในเรื่องหลักการและการปฏิบัติการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ที่ไอทียูซึ่งมีสมาชิก 193 ประเทศทั่วโลกกำหนดขึ้น ครอบคลุมทั้งเรื่องของการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ การทำงานร่วมกันของโครงสร้างโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ซึ่งมีการปรับพิจารณาแก้ไขครั้งล่าสุดเมื่อปี 2531 และมีข้อบังคับหลายประเด็นล้าสมัยไปแล้ว จึงได้มีการหารือเกี่ยวกับการแก้ไข และกำหนดให้เตรียมการประชุม WCIT-12 ขึ้นนั่นเอง
นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการ กสทช. กล่าวปิดท้ายการเสวนาว่า กสทช.มีบทบาททำได้เพียงให้ข้อมูลและทำงานร่วมกับไอซีทีให้ใกล้ชิดมากขึ้น เพราะขอบเขตการทำงานยังไม่ครอบคลุมถึงการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต ส่วนในอนาคตถ้าจะมีบทบาทมากขึ้นก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อให้อำนาจของ กสทช.ครอบคลุมมากขึ้น
ASTV ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9550000130656
_____________________________________
ไอซีที-กสทช. ร่วมงาน ITU นครดูไบ
รมว.ไอซีที พร้อม กสทช. เข้าร่วมงาน ITU Telecom World 2012 ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์...
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที กล่าวว่า ภายหลังการเดินทางไปเข้าร่วมงาน ITU Telecom World 2012 ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พบว่า ประเทศไทยมีความพร้อมเต็มที่ในการเป็นเจ้าภาพ จัดงาน ITU Telecom World 2013 เนื่องจากประเทศไทยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมีศูนย์จัดประชุมและจัดงานแสดงสินค้ามาตรฐานระดับโลกซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ รวมทั้ง พร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ระบสาธารณูปโภค การคมนาคมและการขนส่งอันทันสมัยเป็นศูนย์กลางการบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศเข้าออกกว่า 500 เที่ยวบินต่อวันซึ่งเชื่อมโยงกว่า 190 ประเทศทั่วโลก มีระบบการคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อสนามบินกับใจกลางเมืองผ่านแอร์พอร์ตลิงก์ อีกทั้ง ความพร้อมในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าที่สำคัญในเวทีระดับนานาชาติ และเป็นประตูสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจของภูมิภาคอาเซียน ยังมีประสบการณ์ในการจัดงาน ITU Telecom Asia 2008 เมื่อปี 2551 ประเทศไทยจึงพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ITU Telecom World 2013 กว่า 20,000 คนจากทั่วโลกซึ่งจะมาร่วมงานที่กรุงเทพฯ ในปี 2556
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเข้าร่วมงานประชุมดังกล่าว รมว.ไอซีที ยังได้ร่วมอภิปรายโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีในหัวข้อ Emergency Communication โดยเน้นย้ำถึงนโยบายและการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเตือนภัยและการสื่อสารในสภาวะวิกฤติ เพื่อสื่อสารกับประชาชนและผู้เสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการป้องกันและการเตือนภัยพิบัตินี้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมกันนี้ ยังได้เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับรัฐมนตรีประเทศสมาชิกITU ในหัวข้อ ดิจิตอล ทีวี ด้วย โดย พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้ร่วมอภิปรายในส่วนของประเทศไทย ซึ่งเวทีการเสวนาดังกล่าวได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอนาล็อคทีวี สู่ ดิจิตอล ทีวี โดยได้ให้ความสำคัญใน 2 ส่วนคือ การเข้าถึงการรับชมของประชาชนที่จะต้องติดตั้งกล่องรับสัญญาณ ซึ่งพบว่าหลายประเทศต้องกำหนดเป็นนโยบายจากรัฐเพราะเกี่ยวข้องกับงบประมาณ เนื่องจากส่วนใหญ่รัฐต้องเป็นผู้ลงทุนในเรื่องกล่องรับสัญญาณ และการให้ความสำคัญกับคุณภาพรวมถึงเนื้อหารายการ เพราะการเปลี่ยนเป็นดิจิตอลทีวีจะทำให้ผู้ชมมีช่องสัญญาณในการรับชมมากขึ้นโดยกระทรวงฯ และสำนักงาน กสทช.จะได้ศึกษาและปฏิบัติงานร่วมกันในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/tech/301602
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กสทช.ว่าวงเสวนาครั้งนี้ได้ให้ความสนใจกับการประชุม“ดับบลิวซีไอที-12” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ นครดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นการประชุมระดับโลกว่าด้วยโทรคมนาคมระหว่างประเทศสำหรับสมาชิกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือไอทียู(ITU)
Regional Bureau) กล่าวว่า ข้อเสนอในสนธิสัญญาที่สมาชิกไอทียูทั่วโลกเสนอให้ปรับแก้ 15 ข้อ มีผลกระทบที่ต้องจับตา 6 ข้อสำคัญ คือ
1.การกำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตจ่ายตามแบบ “เปย์ เปอร์ คลิก” หรือจ่ายตามจำนวนที่คลิก จากปัจจุบันจ่ายเป็นแบบค่าแพ็กเกจอินเตอร์เนต 2.กำหนดให้ผู้ให้บริการสารสนเทศจะต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับเจ้าของเครือข่ายหรือเนตเวิร์กโอเปอเรเตอร์ (SenderPay Model) ซึ่งข้อนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อต้นทุนการให้บริการต่างๆบนอินเตอร์เนต รวมถึงธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยต่างๆ
3.กำหนดให้มีการเปิดเผยประวัติการใช้งานของผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตที่จะรวมถึงกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป และผู้ประกอบการ 4.กำหนดให้มีนิยามสแปมและขยายขอบเขตของไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ให้รวมถึงสารสนเทศ 5.กำหนดให้อินเตอร์เนตอยู่ภายใต้สนธิสัญญาใหม่ เช่น การกำหนดนิยามไอซีที และคุณภาพของบริการ (ควอลิตี้ออฟ เซอร์วิส) และ 6.กำหนดให้สนธิสัญญาใหม่เป็นเชิงบังคับจากเดิมที่เป็นลักษณะสมัครใช้
นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้บริหารเว็บไซต์ kapook.com ให้ข้อมูลเสริมว่า สมัยแรกสุดผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตต้องเสียเงินเพื่อเข้าไปหาข้อมูลที่ดีๆ ต่อมาคอนเทนต์ต่างๆ ถูกนำออกมาเผยแพร่แบบสาธารณะ ส่งผลให้แนวการชำระเงินเพื่อเข้าถึงข้อมูลสูญหายไป
ในขณะที่ฝั่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ก็มองว่าผู้ที่สร้างคอนเทนต์เริ่มมีการใช้แบนด์วิดท์มากขึ้น ส่งผลให้ ISP มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มความเร็วในการใช้งานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงคอนเทนต์ ร่างข้อบังคับของ ITU ก็จะช่วยเข้ามาลดภาระของ ISP ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแทนผู้ประกอบการ
“ผู้ประกอบการใดมีคอนเทนต์ที่คนปฏิเสธไม่ได้จะมีอำนาจเหนือตลาด เช่น กูเกิลให้บริการยูทิวบ์ ถ้ามีการเปิดให้บริการ ISP โดยใช้แรงจูงใจว่าผู้ที่ต้องการรับชมยูทิวบ์แบบรวดเร็วต้องสมัครใช้บริการ เป็นแนวทางสร้างรายได้อย่างหนึ่ง”
ก่อนหน้านี้ นางสาวดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ ประเทศไทย ISOC (ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ได้จุดประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอในสนธิสัญญาที่สมาชิกไอทียูทั่วโลกเสนอให้ปรับแก้ (Draft of the Future ITRS) ที่จะนำเข้าไปเสนอในการประชุม WCIT-12 (World Conference on International Telecommunication 2012) ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งหมด 15 ข้อ ซึ่งภายในมี 6 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง
____________________________________
กสทช.รับมือ ‘จีน-รัสเซีย’ เสนอที่ประชุม ‘ไอทียู’ ธค.นี้ ให้คิดค่าบริการ ‘เนต’ แบบใหม่
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2555 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้จัดเสวนา NBTE Public?Forum ครั้ง 9 “ITU จะกำกับดูแลอินเตอร์เนต : ไทยควรมีท่าทีอย่างไร” ณ อาคารหอประชุมชั้น 2 กสทช.
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กสทช.ว่าวงเสวนาครั้งนี้ได้ให้ความสนใจกับการประชุม“ดับบลิวซีไอที-12” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ นครดูไบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นการประชุมระดับโลกว่าด้วยโทรคมนาคมระหว่างประเทศสำหรับสมาชิกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือไอทียู(ITU)
โดยเนื้อหาหลักของงานประชุมดังกล่าวพูดถึงการเปลี่ยนแปลง “กฎเกณฑ์”และ “วิธีเก็บค่าบริการ” ในการใช้บริการอินเตอร์เนต กล่าวง่ายๆ ก็คือ ปัจจุบันผู้ใช้อินเตอร์เนตต้องจ่ายค่าบริการในรูปของแพ็กเกจอินเตอร์เนต หรือแบบเหมาจากรายเดือน แต่ที่ประชุมจะมีการเสนอแบบใหม่เมื่อผู้ใช้คลิกเข้าอินเตอร์เนตทุกครั้งผู้ใช้ต้องจ่ายสตางค์เสมือนหนึ่งการใช้บริการโทรศัพท์ปัจจุบันที่คิดตามจำนวนครั้งที่โทร.
น.ส.ดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเตอร์เนตโซไซตี้ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Internet Society Asia-Pacific
Regional Bureau) กล่าวว่า ข้อเสนอในสนธิสัญญาที่สมาชิกไอทียูทั่วโลกเสนอให้ปรับแก้ 15 ข้อ มีผลกระทบที่ต้องจับตา 6 ข้อสำคัญ คือ
1.การกำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตจ่ายตามแบบ “เปย์ เปอร์ คลิก” หรือจ่ายตามจำนวนที่คลิก จากปัจจุบันจ่ายเป็นแบบค่าแพ็กเกจอินเตอร์เนต 2.กำหนดให้ผู้ให้บริการสารสนเทศจะต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับเจ้าของเครือข่ายหรือเนตเวิร์กโอเปอเรเตอร์ (SenderPay Model) ซึ่งข้อนี้จะมีผลกระทบอย่างมากต่อต้นทุนการให้บริการต่างๆบนอินเตอร์เนต รวมถึงธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อยต่างๆ
3.กำหนดให้มีการเปิดเผยประวัติการใช้งานของผู้ใช้บริการอินเตอร์เนตที่จะรวมถึงกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป และผู้ประกอบการ 4.กำหนดให้มีนิยามสแปมและขยายขอบเขตของไซเบอร์ ซีเคียวริตี้ให้รวมถึงสารสนเทศ 5.กำหนดให้อินเตอร์เนตอยู่ภายใต้สนธิสัญญาใหม่ เช่น การกำหนดนิยามไอซีที และคุณภาพของบริการ (ควอลิตี้ออฟ เซอร์วิส) และ 6.กำหนดให้สนธิสัญญาใหม่เป็นเชิงบังคับจากเดิมที่เป็นลักษณะสมัครใช้
“แนวคิดเปย์ เปอร์ คลิก เป็นเรื่องที่มีหลายประเทศเสนอ โดยเฉพาะประเทศใหญ่เช่น จีน และรัสเซีย ที่ต้องการจะควบคุมอินเตอร์เนต แต่สถานะตอนนี้คือยังไม่มีร่างกฎเกณฑ์สุดท้ายของไอทียู มีแต่ข้อเสนอแก้ไข 15 ข้อ และจะให้ทุกประเทศเข้าโหวตในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ที่ดูไบ ซึ่งแม้ว่าไทยจะแสดงทีท่าจะอยู่ตรงกลาง ไม่สนับสนุนใครเป็นพิเศษ แต่สุดท้ายแล้วไทยจำเป็นที่จะต้องโหวต ดังนั้นช่วงเวลาตอนนี้จึงต้องหาท่าทีที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงในข้อไหนอย่างไร” น.ส.ดวงทิพย์ กล่าว
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกสทช. กล่าวว่า บทบาทของ กสทช.ในขณะนี้ทำได้เพียงเสนอแนะข้อมูล เนื่องจากขอบเขตการกำกับดูแลยังไม่ครอบคลุมถึงการกำกับดูแลอินเตอร์เนต ซึ่งโดยภาพรวมแล้ว กสทช.ควรเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำกับดูแล แต่ในทางปฏิบัติอาจทำได้เพียงทำงานร่วมกับ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ให้ใกล้ชิดมากขึ้นเท่านั้น ส่วนจะมีบทบาทที่มากกว่านี้ในอนาคตอาจต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อให้ กสทช.มีอำนาจที่ครอบคลุมมากขึ้น
ขณะที่ อาจารย์กาญจนา กาญจนสุตอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) กล่าวว่าโลกอินเตอร์เนต เมื่อกว่า 20 ปี ก่อนดูแลด้วยกลไกโครงสร้างของเทคโนโลยีเป็นหลักแต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนอินเตอร์เนตปัจจุบันกลายเป็นโครงสร้างที่รัฐ หรือองค์กร เช่น ไอทียู พยายามจะเข้ามามีบทบาทดูแลมากขึ้น และเป็นเรื่องที่ไทยจำเป็นต้องหาจุดยืน
นายอาจิน จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักกิจการระหว่างประเทศสำนักปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า ในส่วนของ กระทรวงไอซีที ถ้ามีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายแล้ว ผู้ประกอบการไทยไม่ยอมรับทางกระทรวงก็คงไม่ยอมรับหลักเกณฑ์ของไอทียู ซึ่งความจริงไทยเราก็มีกฎหมายด้านไอซีทีกำกับดูแลอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องความปลอดภัยบนอินเตอร์เนตด้วย
“ถ้าเรารับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายแล้วเห็นว่ารับไม่ได้ ไอซีที ก็คงยอมรับไม่ได้เหมือนกันเพราะเราไม่ใช่นักธุรกิจ ซึ่งตอนนี้ไอซีทีก็มีกฎหมายดูอยู่ รวมถึงเรื่องของซีเคียวริตี้ด้วย” นายอาจิน กล่าว
แนวหน้า
http://www.ryt9.com/s/nnd/1516715
____________________________
ถกอนาคตอินเทอร์เน็ตไทยภายใต้ไอทียูใหม่
วงเสวนาไอทียูยังไม่ชี้ชัดเรื่องข้อบังคับโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITRs) ด้านตัวแทนไอซีทีย้ำชัดไม่ต้องกังวล ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยก็จะไม่ลงนามในสนธิสัญญา ฝั่งตัวแทนผู้ประกอบการมองร่างดังกล่าวช่วยสร้างประโยชน์ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
โดยภายในเวทีเสวนา NBTC Public Forum ครั้งที่ 9 “ITU จะกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต : ไทยควรมีท่าทีอย่างไร” จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อหาแนวทางออกสำหรับประเทศไทยในสนธิสัญญาฉบับใหม่ของไอทียู
ดร.อาจิณ จิรชีพพัฒนา ผู้อำนวยการสำนักกิจการระหว่างประเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า คณะทำงานของกระทรวงทราบว่าทุกเรื่องมีขั้นตอนในการจัดการอยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดผลกระทบ เนื่องจากทางกระทรวงรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน ซึ่งในกรณีที่เห็นว่าไม่เหมาะสมก็พร้อมที่จะไม่เซ็นรับสนธิสัญญาดังกล่าว เพราะไอซีทีก็มีกฎหมายควบคุมอยู่
ขณะที่กาญจนา กาญจนสุต อาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มองว่า ปัจจุบันการให้บริการอินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนไปกลายเป็นโครงสร้างที่รัฐหรือองค์กรที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง หลายๆ ผู้ประกอบการมีโครงข่ายเป็นของตนเอง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานจึงควรต้องมีหน่วยงานออกมากำกับดูแล
นายปรเมศวร์ มินศิริ ผู้บริหารเว็บไซต์ kapook.com ให้ข้อมูลเสริมว่า สมัยแรกสุดผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตต้องเสียเงินเพื่อเข้าไปหาข้อมูลที่ดีๆ ต่อมาคอนเทนต์ต่างๆ ถูกนำออกมาเผยแพร่แบบสาธารณะ ส่งผลให้แนวการชำระเงินเพื่อเข้าถึงข้อมูลสูญหายไป
ในขณะที่ฝั่งผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) ก็มองว่าผู้ที่สร้างคอนเทนต์เริ่มมีการใช้แบนด์วิดท์มากขึ้น ส่งผลให้ ISP มีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มความเร็วในการใช้งานอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ใช้งานได้เข้าถึงคอนเทนต์ ร่างข้อบังคับของ ITU ก็จะช่วยเข้ามาลดภาระของ ISP ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแทนผู้ประกอบการ
“ผู้ประกอบการใดมีคอนเทนต์ที่คนปฏิเสธไม่ได้จะมีอำนาจเหนือตลาด เช่น กูเกิลให้บริการยูทิวบ์ ถ้ามีการเปิดให้บริการ ISP โดยใช้แรงจูงใจว่าผู้ที่ต้องการรับชมยูทิวบ์แบบรวดเร็วต้องสมัครใช้บริการ เป็นแนวทางสร้างรายได้อย่างหนึ่ง”
ก่อนหน้านี้ นางสาวดวงทิพย์ โฉมปรางค์ ผู้บริหารอินเทอร์เน็ตโซไซตี้ ประเทศไทย ISOC (ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก) ได้จุดประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอในสนธิสัญญาที่สมาชิกไอทียูทั่วโลกเสนอให้ปรับแก้ (Draft of the Future ITRS) ที่จะนำเข้าไปเสนอในการประชุม WCIT-12 (World Conference on International Telecommunication 2012) ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 3-14 ธันวาคม 2555 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รวมทั้งหมด 15 ข้อ ซึ่งภายในมี 6 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในวงกว้าง
ซึ่งทั้ง 6 ข้อประกอบไปด้วย 1. กำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจ่ายตามการใช้แบบ Pay Per Click 2. กำหนดให้ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตจะต้องจ่ายค่าใช้งานให้เจ้าของเครือข่าย หรือเน็ตเวิร์กโอเปอเรเตอร์ (Sender Pay Model) 3. กำหนดให้มีการเปิดเผยประวัติการใช้งานของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต 4. กำหนดให้มีนิยามสแปม และขยายขอบเขตการรักษาความปลอดภัยให้ครอบคลุมมากขึ้น 5. กำหนดให้อินเทอร์เน็ตอยู่ภายใต้สนธิสัญญาใหม่ รวมถึงการกำหนดนิยาม ICT/Quality of Service ให้ชัดเจน และ 6. กำหนดให้สนธิสัญญาใหม่เป็นเชิงบังคับ จากเดิมที่เป็นลักษณะสมัครใช้
โดยเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อวงการอินเทอร์เน็ตประเทศไทย และออกมาให้ความสนใจเกี่ยวกับข้อเสนอใหม่ของไอทียูคงหนีไม่พ้นเรื่องของการเข้าสู่อินเทอร์เน็ตทุกครั้งต้องเสียเงินที่ถูกเสนอขึ้นมาจากหลายๆประเทศ โดยเฉพาะประเทศขนาดใหญ่อย่างจีน และรัสเซีย หรือประเทศเล็กๆ อย่างฟิจิ ที่ต้องการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ
“เรื่องทั้งหมดยังเป็นร่างข้อตกลงที่จะนำเข้าเสนอ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ข้อความที่สามารถตีความได้แบบกว้างๆ เพื่อให้สามารถนำมาซึ่งผลสรุปในการประชุมใหญ่ ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงต้องหาท่าทีที่ชัดเจนว่าประเทศไทยจะยอมรับในข้อเสนอใดบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องออกเสียงในการประชุมดังกล่าว”
ทั้งนี้ ขั้นตอนในการนำข้อเสนอร่วมเข้าสู่ที่ประชุม WCIT-12 จะถูกรวบรวมโดยกลุ่มประเทศสมาชิก ซึ่งเป็นเวทีกลาง โดยประเทศไทยอยู่ในกลุ่มองค์กรโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Asia Pacific Telecomminity : APT) หลังจากที่แต่ละประเทศพิจารณาร่างข้อบังคับแล้วมีประเทศสมาชิกอย่างน้อย 1 ใน 4 เห็นด้วย ร่างข้อเสนอดังกล่าวก็จะเป็นข้อเสนอร่วม (APT Common Proposal : ACP) แต่ขณะเดียวกันไอทียูก็เปิดให้ประเทศสมาชิกสามารถยื่นเรื่องตรงโดยไม่ต้องผ่านเวทีกลางได้
สำหรับข้อบังคับโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Regulations : ITRs) ถือเป็นข้อบังคับทั่วไปในเรื่องหลักการและการปฏิบัติการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ที่ไอทียูซึ่งมีสมาชิก 193 ประเทศทั่วโลกกำหนดขึ้น ครอบคลุมทั้งเรื่องของการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ การทำงานร่วมกันของโครงสร้างโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ซึ่งมีการปรับพิจารณาแก้ไขครั้งล่าสุดเมื่อปี 2531 และมีข้อบังคับหลายประเด็นล้าสมัยไปแล้ว จึงได้มีการหารือเกี่ยวกับการแก้ไข และกำหนดให้เตรียมการประชุม WCIT-12 ขึ้นนั่นเอง
นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการ กสทช. กล่าวปิดท้ายการเสวนาว่า กสทช.มีบทบาททำได้เพียงให้ข้อมูลและทำงานร่วมกับไอซีทีให้ใกล้ชิดมากขึ้น เพราะขอบเขตการทำงานยังไม่ครอบคลุมถึงการกำกับดูแลอินเทอร์เน็ต ส่วนในอนาคตถ้าจะมีบทบาทมากขึ้นก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงกฎหมายเพื่อให้อำนาจของ กสทช.ครอบคลุมมากขึ้น
ASTV ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9550000130656
_____________________________________
ไอซีที-กสทช. ร่วมงาน ITU นครดูไบ
รมว.ไอซีที พร้อม กสทช. เข้าร่วมงาน ITU Telecom World 2012 ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์...
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที กล่าวว่า ภายหลังการเดินทางไปเข้าร่วมงาน ITU Telecom World 2012 ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พบว่า ประเทศไทยมีความพร้อมเต็มที่ในการเป็นเจ้าภาพ จัดงาน ITU Telecom World 2013 เนื่องจากประเทศไทยมีสิ่งอำนวยความสะดวกมีศูนย์จัดประชุมและจัดงานแสดงสินค้ามาตรฐานระดับโลกซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ รวมทั้ง พร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ ระบสาธารณูปโภค การคมนาคมและการขนส่งอันทันสมัยเป็นศูนย์กลางการบินที่มีเที่ยวบินระหว่างประเทศเข้าออกกว่า 500 เที่ยวบินต่อวันซึ่งเชื่อมโยงกว่า 190 ประเทศทั่วโลก มีระบบการคมนาคมขนส่งเชื่อมต่อสนามบินกับใจกลางเมืองผ่านแอร์พอร์ตลิงก์ อีกทั้ง ความพร้อมในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยยังคงเป็นศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าที่สำคัญในเวทีระดับนานาชาติ และเป็นประตูสู่การสร้างโอกาสทางธุรกิจของภูมิภาคอาเซียน ยังมีประสบการณ์ในการจัดงาน ITU Telecom Asia 2008 เมื่อปี 2551 ประเทศไทยจึงพร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะเป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ITU Telecom World 2013 กว่า 20,000 คนจากทั่วโลกซึ่งจะมาร่วมงานที่กรุงเทพฯ ในปี 2556
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการเข้าร่วมงานประชุมดังกล่าว รมว.ไอซีที ยังได้ร่วมอภิปรายโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีในหัวข้อ Emergency Communication โดยเน้นย้ำถึงนโยบายและการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเตือนภัยและการสื่อสารในสภาวะวิกฤติ เพื่อสื่อสารกับประชาชนและผู้เสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการป้องกันและการเตือนภัยพิบัตินี้เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก พร้อมกันนี้ ยังได้เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับรัฐมนตรีประเทศสมาชิกITU ในหัวข้อ ดิจิตอล ทีวี ด้วย โดย พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้ร่วมอภิปรายในส่วนของประเทศไทย ซึ่งเวทีการเสวนาดังกล่าวได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีอนาล็อคทีวี สู่ ดิจิตอล ทีวี โดยได้ให้ความสำคัญใน 2 ส่วนคือ การเข้าถึงการรับชมของประชาชนที่จะต้องติดตั้งกล่องรับสัญญาณ ซึ่งพบว่าหลายประเทศต้องกำหนดเป็นนโยบายจากรัฐเพราะเกี่ยวข้องกับงบประมาณ เนื่องจากส่วนใหญ่รัฐต้องเป็นผู้ลงทุนในเรื่องกล่องรับสัญญาณ และการให้ความสำคัญกับคุณภาพรวมถึงเนื้อหารายการ เพราะการเปลี่ยนเป็นดิจิตอลทีวีจะทำให้ผู้ชมมีช่องสัญญาณในการรับชมมากขึ้นโดยกระทรวงฯ และสำนักงาน กสทช.จะได้ศึกษาและปฏิบัติงานร่วมกันในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/content/tech/301602
ไม่มีความคิดเห็น: