27 พฤศจิกายน 2556 นายสุระ คณิตทวีกุล แห่ง คอมเซเว่น ระบุ ปรับตัวใหญ่ทั้ง เพิ่ม บานาน่า โมบาย , บานาน่า สตัฟ แนวโน้มนี้จะไปถึงปีหน้า จะเติบโตเพียง 10% พราะตลาดโน้ตบุ๊กหดตัวประมาณ 15% คาดว่าบริษัทจะมีรายได้รวมประมาณ 15,000 ล้านบาท
ประเด็นหลัก
นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เจ้าของร้านค้าปลีกสินค้าไอที เช่น "บานาน่า ไอที" และ "ไอสตูดิโอ บาย คอมเซเว่น" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ได้ทยอยปรับหน้าร้าน "บานาน่า สตัฟ" ซึ่งเดิมวางเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์เสริม และแก็ดเจตต่าง ๆ มีจำนวน 10 สาขา มาจำหน่ายอุปกรณ์ประเภทสมาร์ทดีไวซ์ ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเลตเต็มรูปแบบ จากเดิมจะจำหน่ายสินค้าประเภทนี้ในร้าน "บานาน่า ไอที" เท่านั้น โดยเปลี่ยนไปแล้ว 3 สาขา และในปีหน้าจะเปลี่ยนทั้งหมด รวมถึงชื่อร้านเปลี่ยนเป็น "บานาน่า โมบาย"
นายสุระกล่าวต่อว่า ปีนี้มูลค่าตลาดรวมไอทีน่าจะเติบโตเพียง 10% และแนวโน้มนี้จะไปถึงปีหน้า เพราะตลาดโน้ตบุ๊กหดตัวประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน ถึงแม้จำนวนเครื่องที่ขายจะมีเพียง 2.5 ล้านเครื่อง/ปี แต่ผู้ค้าไอทีน่าจะพออยู่กันได้ เพราะมีเพียงหลักพันรายเท่านั้น โดยปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้รวมประมาณ 15,000 ล้านบาท เติบโตจากปีเล็กน้อยก่อนที่ทำได้ 1.4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
ไม่ถึงเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ต้นปีที่ 20,000 ล้านบาท เพราะนอกจากตลาดไอทีจะแทบไม่เติบโตแล้ว การที่แอปเปิลมีผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าช้ากว่าที่คาดไว้ 5 เดือน
ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทอย่างชัดเจนในไตรมาส 3 แต่เชื่อว่าเมื่อจบไตรมาสสุดท้ายจะฟื้นกลับมาเป็นปกติ แต่คาดว่าปีหน้าจะฟื้นกลับมาได้ เพราะเตรียมปรับกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ทั้งหมด แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
______________________________________
ค้าปลีกไอทีจูนธุรกิจสมาร์ทโฟน คอมเซเว่นดัน"สตัฟโมบาย"ลุย
ค้าปลีกไอทีดิ้นสู้ตลาดซบ "คอมเซเว่น" ดึงสมาร์ทโฟนเสริมรายได้ปรับหน้าร้านขายอุปกรณ์เสริมมาขายมือถือทั้งหมด ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 30% ในปีหน้า ตลาดไอทีโตน้อยไม่ปรับตัวอยู่ลำบาก รายได้ปีนี้คงได้แค่ 15,000 ล้านบาท จากเป้าเดิม 20,000 ล้านบาท
นายสุระ คณิตทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมเซเว่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เจ้าของร้านค้าปลีกสินค้าไอที เช่น "บานาน่า ไอที" และ "ไอสตูดิโอ บาย คอมเซเว่น" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ได้ทยอยปรับหน้าร้าน "บานาน่า สตัฟ" ซึ่งเดิมวางเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์เสริม และแก็ดเจตต่าง ๆ มีจำนวน 10 สาขา มาจำหน่ายอุปกรณ์ประเภทสมาร์ทดีไวซ์ ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเลตเต็มรูปแบบ จากเดิมจะจำหน่ายสินค้าประเภทนี้ในร้าน "บานาน่า ไอที" เท่านั้น โดยเปลี่ยนไปแล้ว 3 สาขา และในปีหน้าจะเปลี่ยนทั้งหมด รวมถึงชื่อร้านเปลี่ยนเป็น "บานาน่า โมบาย"
"คงต้องบอกว่าร้านขายอุปกรณ์เสริมอย่างเดียวดึงดูดลูกค้าเข้ามาไม่ได้ ตอนเปิดผมก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นขนาดนี้ ถ้าไม่ทำอะไรก็คงไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจปรับรูปแบบร้านใหม่มาขายมือถือเต็มตัว เพราะสถานที่ตั้งร้านแต่ละสาขามีคนเดินจำนวนมาก เหมาะกับการขายแท็บเลตและสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว โดยที่ผ่านมาตัวธุรกิจแก็ดเจตก็ไม่ได้ทำรายได้ให้เรามากนักการปรับหน้าร้านครั้งนี้ก็น่าจะส่งผลดีในการขายสมาร์ทดีไวซ์เพิ่มเติมเพื่อตามเทรนด์การใช้งานของผู้บริโภคปัจจุบัน"
โดยในปีหน้าตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากสินค้าประเภทสมาร์ทดีไวซ์เป็น 30% จากปีนี้คิดเป็นเพียง 10% เนื่องจากเพิ่งนำเข้าสินค้าและทำแผนการตลาดอย่างจริงจังในครึ่งปีหลัง ทำให้สร้างรายได้ให้ไม่มากนัก โดยเริ่มวางจำหน่ายสมาร์ทดีไวซ์ใน "บานาน่า ไอที" ก่อน แต่ต้องยอมรับว่าผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสมาร์ทดีไวซ์ยังชอบซื้อในร้านค้าปลีกโทรศัพท์มือถือมากกว่า
"ปีนี้รายได้ของฝั่งสมาร์ทดีไวซ์แค่หลักพันล้าน เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะซื้อสินค้านี้ในร้านค้าปลีกมือถือ ซึ่งร้านค้าปลีกไอทีทุกเจ้าก็เป็นเหมือนกันหมด ถ้าจะขยับมาขายจริงจังคงต้องปรับภาพลักษณ์ร้านใหม่ และวิธีง่ายที่สุดก็คือทำร้านขึ้นมาใหม่เลย ดังนั้นปีหน้าโมเดลธุรกิจของเราจะมีหน้าร้าน 3 ร้าน คือ ไอสตูดิโอ ที่ขายสินค้าแอปเปิล, บานาน่า ไอที ขายสินค้าไอที และบานาน่า โมบาย ที่ขายสมาร์ท
ดีไวซ์ต่าง ๆ โดยยังคงมีแผนขยายสาขาเพิ่มจาก 265 แห่งในปีนี้อีก 40 สาขา เน้นไปที่ต่างจังหวัดและคอมมิวนิตี้มอลล์"
ปัจจุบันคอมเซเว่นฯมีสาขา แบ่งเป็น ไอสตูดิโอ 85 สาขา, บานาน่า ไอที 170 สาขา และบานาน่า สตัฟ 10 สาขา โดยปีนี้เปิดเพิ่ม 40 สาขา เน้น "บานาน่า ไอที" ในต่างจังหวัดเป็นหลัก และมีบางสาขาที่ปิดแต่เปิดใหม่พื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่น ในจังหวัดชุมพร และสุพรรณบุรี เนื่องจากย้ายจากห้างสรรพสินค้าเก่าไปอยู่ที่ใหม่ที่ใหญ่กว่า แต่ยังไม่มีที่ปิดไปเลย โดยมีสาขาตามตึกคอมพ์คิดเป็นสัดส่วน 30% ของทั้งหมด และไม่มีนโยบายเพิ่มหรือลด เพราะต้องรักษาฐานลูกค้าที่ต้องการซื้ออุปกรณ์ไอทีเต็มรูปแบบ
นายสุระกล่าวต่อว่า ปีนี้มูลค่าตลาดรวมไอทีน่าจะเติบโตเพียง 10% และแนวโน้มนี้จะไปถึงปีหน้า เพราะตลาดโน้ตบุ๊กหดตัวประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน ถึงแม้จำนวนเครื่องที่ขายจะมีเพียง 2.5 ล้านเครื่อง/ปี แต่ผู้ค้าไอทีน่าจะพออยู่กันได้ เพราะมีเพียงหลักพันรายเท่านั้น โดยปีนี้คาดว่าบริษัทจะมีรายได้รวมประมาณ 15,000 ล้านบาท เติบโตจากปีเล็กน้อยก่อนที่ทำได้ 1.4 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
ไม่ถึงเป้ารายได้ที่ตั้งไว้ต้นปีที่ 20,000 ล้านบาท เพราะนอกจากตลาดไอทีจะแทบไม่เติบโตแล้ว การที่แอปเปิลมีผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ล่าช้ากว่าที่คาดไว้ 5 เดือน
ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทอย่างชัดเจนในไตรมาส 3 แต่เชื่อว่าเมื่อจบไตรมาสสุดท้ายจะฟื้นกลับมาเป็นปกติ แต่คาดว่าปีหน้าจะฟื้นกลับมาได้ เพราะเตรียมปรับกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ทั้งหมด แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1385444017
ไม่มีความคิดเห็น: