11 ธันวาคม 2556 IDC ระบุ คอนซูเมอร์อื่นๆ ทั้งแทบเล็ต และสมาร์ทโฟนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่น้อยกว่าพีซี เพราะสมาร์ทโฟนยังเป็นอุปกรณ์ที่ต้องซื้อ
ประเด็นหลัก
เบื้องต้นคาดว่าจะต้องปรับยอดเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) รวมโน้ตบุ๊คและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมีแนวโน้มติดลบ 10-15% โดยเฉพาะ "โน้ตบุ๊ค" หนักสุด หรือติดลบ 20-25% เพราะความต้องการซื้อที่หดตัวลงมาก เนื่องจากมีสินค้าทดแทนทั้งสมาร์ทโฟนจอใหญ่และแทบเล็ต ทั้งยังเป็นสินค้าที่อายุการใช้งานนาน และมีอัตราการเปลี่ยนเครื่องนานกว่าสินค้าไอทีอื่นๆ
ส่วนสินค้าหลักในกลุ่มไอที คอนซูเมอร์อื่นๆ ทั้งแทบเล็ต และสมาร์ทโฟนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่น้อยกว่าพีซี เพราะสมาร์ทโฟนยังเป็นอุปกรณ์ที่ต้องซื้อ หรือปีนี้มีแนวโน้มเติบโตได้ใกล้ 80% ส่วนแทบเล็ตมีโอกาสโต 20-25%
"แทบเล็ตจะกระทบหนักกว่าสมาร์ทโฟนระดับหนึ่ง ซึ่งคอนซูเมอร์ก็บางส่วน แต่จะเห็นชัดเจนสำหรับแทบเล็ตเพื่อการศึกษาที่โครงการยังต้องเลื่อนออกไปในปีนี้"
นายสนธิญา หนูจีนเส้ง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย ) จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) โดยเฉพาะกลุ่มโน้ตบุ๊คที่ทรุดตัวอย่างต่อเนื่องหลายไตรมาสติดต่อกันคาดว่าจะเริ่มกลับมาคึกคักได้อีกครั้งภายใน 1-2 ปีจากนี้ จากความต้องการเปลี่ยนเครื่องใหม่ของผู้ใช้งานทั่วไป รวมถึงผู้ใช้งานในองค์กรที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องเพื่อรองรับซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่และอายุการใช้งานเครื่องที่ถึงเวลาต้องเปลี่ยน
นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการปรับตัวของผู้ผลิตและผู้ค้าที่ปรับปรุงคุณสมบัติพีซีให้เปลี่ยนแปลงจากเดิม หรือได้คุณสมบัติที่ดีขึ้นในราคาเดิม ซึ่งคาดว่าเฉลี่ยพีซีที่ซื้อปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นที่เคยซื้อเมื่อ 2-3 ปีก่อนอย่างน้อย 30% เมื่อเทียบในราคาที่เท่ากัน
แต่อินเทลยอมรับว่า แม้ตลาดพีซีปัจจุบันจะเติบโตลดลง แต่ด้วยยอดขายทั่วโลกที่ยังอยู่ระดับ 300 ล้านเครื่องต่อปีก็ยังถือว่าเป็นตลาดใหญ่สำหรับพีซี ซึ่งช่วงนี้เป็นจังหวะที่ผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจกับสมาร์ท ดีไวซ์ที่เน้นความสะดวกในการพกพา เช่น สมาร์ทโฟน และแทบเล็ตมากกว่า ทำให้ความเร็วการเปลี่ยนเครื่องช้าลง แต่ยังเป็นอุปกรณ์ที่จะไม่หายไปจากตลาด
นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการปรับตัวของผู้ผลิตและผู้ค้าที่ปรับปรุงคุณสมบัติพีซีให้เปลี่ยนแปลงจากเดิม หรือได้คุณสมบัติที่ดีขึ้นในราคาเดิม ซึ่งคาดว่าเฉลี่ยพีซีที่ซื้อปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นที่เคยซื้อเมื่อ 2-3 ปีก่อนอย่างน้อย 30% เมื่อเทียบในราคาที่เท่ากัน
แต่อินเทลยอมรับว่า แม้ตลาดพีซีปัจจุบันจะเติบโตลดลง แต่ด้วยยอดขายทั่วโลกที่ยังอยู่ระดับ 300 ล้านเครื่องต่อปีก็ยังถือว่าเป็นตลาดใหญ่สำหรับพีซี ซึ่งช่วงนี้เป็นจังหวะที่ผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจกับสมาร์ท ดีไวซ์ที่เน้นความสะดวกในการพกพา เช่น สมาร์ทโฟน และแทบเล็ตมากกว่า ทำให้ความเร็วการเปลี่ยนเครื่องช้าลง แต่ยังเป็นอุปกรณ์ที่จะไม่หายไปจากตลาด
'ไอดีซี' ปรับลดคาดการณ์ระลอกใหม่
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
บ.วิจัยจับตาใกล้ชิดสถานการณ์ เตรียมปรับลดคาดการณ์ตลาดไอทีรอบใหม่ คาด "โน้ตบุ๊ค"กระทบหนักสุดติดลบส่วน"เมกะโปรเจกต์"ยังลุ้นผลรัฐทำโครงการสะดุด
นายจาริตร์ สิทธุ นักวิเคราะห์อาวุโส สายงานศึกษาตลาดไคลเอนต์ ดีไวซ์ ประจำไอดีซี กล่าวว่า ไอดีซีเริ่มปรับคาดการณ์การเติบโตของตลาดไอทีไทยตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ช่วงนี้
เบื้องต้นคาดว่าจะต้องปรับยอดเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) รวมโน้ตบุ๊คและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะมีแนวโน้มติดลบ 10-15% โดยเฉพาะ "โน้ตบุ๊ค" หนักสุด หรือติดลบ 20-25% เพราะความต้องการซื้อที่หดตัวลงมาก เนื่องจากมีสินค้าทดแทนทั้งสมาร์ทโฟนจอใหญ่และแทบเล็ต ทั้งยังเป็นสินค้าที่อายุการใช้งานนาน และมีอัตราการเปลี่ยนเครื่องนานกว่าสินค้าไอทีอื่นๆ
ส่วนสินค้าหลักในกลุ่มไอที คอนซูเมอร์อื่นๆ ทั้งแทบเล็ต และสมาร์ทโฟนก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่น้อยกว่าพีซี เพราะสมาร์ทโฟนยังเป็นอุปกรณ์ที่ต้องซื้อ หรือปีนี้มีแนวโน้มเติบโตได้ใกล้ 80% ส่วนแทบเล็ตมีโอกาสโต 20-25%
"แทบเล็ตจะกระทบหนักกว่าสมาร์ทโฟนระดับหนึ่ง ซึ่งคอนซูเมอร์ก็บางส่วน แต่จะเห็นชัดเจนสำหรับแทบเล็ตเพื่อการศึกษาที่โครงการยังต้องเลื่อนออกไปในปีนี้"
เซิร์ฟเวอร์ล่มกระตุ้นตลาด
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อตลาดไอทีโดยรวมจะต้องรอประเมินสถานการณ์จนกว่าจะนิ่งกว่านี้ ซึ่งคาดว่าจะประกาศตัวเลขเติบโตอย่างเป็นทางการได้วันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.นี้ เบื้องต้นท่าทีของรัฐมีแนวโน้มประนีประนอม และไม่น่าจะเกิดเหตุรุนแรงทำให้ยังต้องจับตาว่าจะส่งผลลบกับตลาดไอทีระดับใด
แต่เหตุการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ส่งผลบวกต่อตลาดไอทีบ้างเล็กน้อย จากกรณีเซิร์ฟเวอร์หลักของ บมจ.กสท ล่ม ทำให้ธุรกิจต่างๆ ตื่นตัวมากขึ้นที่จะหาโซลูชั่นสำรองสำหรับการสื่อสาร และทำดีอาร์ ไซต์ (Disaster Recovery Site) กันมากขึ้น
นักวิเคราะห์ไอดีซียังระบุว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ยังมีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการใช้จ่ายตลาดไอทีปี 2557 โดยเฉพาะภาครัฐที่แม้ยุบสภาแล้วได้รัฐบาลชุดเดิมกลับมา และโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ยังมีอยู่ แต่ระยะที่ต้องรอเลือกตั้งก็อาจใช้เวลาไปอีกอย่างน้อย 1 ไตรมาส
"เรายังไม่กล้าฟันธงเมกะ โปรเจกต์ว่าจะกระทบมากน้อยแค่ไหน เพราะบางโปรเจกต์ยังไปได้อยู่ แต่บางโปรเจกต์ที่รัฐบาลหนุน ซึ่งถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงก็อาจจะยกเลิกไป หรือต่อให้ไม่ยกเลิกก็ยังต้องรอเลือกตั้งใหม่ ซึ่งกินเวลาไปอีกอย่างน้อย 1 ไตรมาส ทำให้เห็นแน่ๆ คือ โครงการใหญ่ๆ ต้องดีเลย์ออกไป"
โปรเจกต์ใหญ่จำเป็น
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) กล่าวว่า ต้องรอกระแสการเมืองที่ชัดเจนก่อน ซึ่งไม่ว่าผู้บริหารรัฐบาลจะเป็นใคร ก็ต้องพัฒนาประเทศ ทุกคนต้องแสดงวิสัยทัศน์พัฒนา
งบประมาณ 2 ล้านล้านบาทที่ต้องชะงักไป เป็นตัวเพิ่มจีดีพีประเทศ แต่ถึงไม่มีโครงการนี้ รัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศก็ต้องจัดทำโครงการพัฒนา และทำให้เศรษฐกิจเดินหน้า ซึ่งถือเป็นความจำเป็น และกระทบถึงสถานการณ์ตลาดไอที เรื่องต่างๆ น่าจะชะลอไป 1-2 เดือน ประมาณไตรมาสที่ 2 หรือปลายไตรมาสที่ 1 ปี 2557 น่าจะชัดเจนขึ้น ส่วนของเอกชนก็ต้องประคองธุรกิจกันต่อไป
หวังอุตฯพีซีหวนคึกคักอีก 1-2 ปี
นายสนธิญา หนูจีนเส้ง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย ) จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) โดยเฉพาะกลุ่มโน้ตบุ๊คที่ทรุดตัวอย่างต่อเนื่องหลายไตรมาสติดต่อกันคาดว่าจะเริ่มกลับมาคึกคักได้อีกครั้งภายใน 1-2 ปีจากนี้ จากความต้องการเปลี่ยนเครื่องใหม่ของผู้ใช้งานทั่วไป รวมถึงผู้ใช้งานในองค์กรที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องเพื่อรองรับซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่และอายุการใช้งานเครื่องที่ถึงเวลาต้องเปลี่ยน
นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการปรับตัวของผู้ผลิตและผู้ค้าที่ปรับปรุงคุณสมบัติพีซีให้เปลี่ยนแปลงจากเดิม หรือได้คุณสมบัติที่ดีขึ้นในราคาเดิม ซึ่งคาดว่าเฉลี่ยพีซีที่ซื้อปัจจุบันจะมีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นที่เคยซื้อเมื่อ 2-3 ปีก่อนอย่างน้อย 30% เมื่อเทียบในราคาที่เท่ากัน
แต่อินเทลยอมรับว่า แม้ตลาดพีซีปัจจุบันจะเติบโตลดลง แต่ด้วยยอดขายทั่วโลกที่ยังอยู่ระดับ 300 ล้านเครื่องต่อปีก็ยังถือว่าเป็นตลาดใหญ่สำหรับพีซี ซึ่งช่วงนี้เป็นจังหวะที่ผู้บริโภคหันไปให้ความสนใจกับสมาร์ท ดีไวซ์ที่เน้นความสะดวกในการพกพา เช่น สมาร์ทโฟน และแทบเล็ตมากกว่า ทำให้ความเร็วการเปลี่ยนเครื่องช้าลง แต่ยังเป็นอุปกรณ์ที่จะไม่หายไปจากตลาด
ทั้งนี้เพราะพีซียังเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสำหรับการทำงานแบบฟูลฟังก์ชันมากกว่า หรือเหมาะสำหรับการสร้างคอนเทนท์ต่างๆ ขณะที่สมาร์ทโฟนและแทบเล็ตเหมาะสำหรับการคอนซูมเป็นหลัก
"ความเร็วในการเปลี่ยนเครื่องใหม่ช้าลงทำให้ตลาดดูเหมือนตกลง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามันลดลง เพราะแทนที่เครื่องใหม่จะเป็นเดสก์ทอปหรือโน้ตบุ๊คเหมือนเดิม แต่กลับมีตัวเลือก เช่น สมาร์ท ดีไวซ์ เข้ามาแทน ซึ่งในตลาดโลกยอดขายพีซีกว่า 300 ล้านเครื่อง ส่วนสมาร์ท ดีไวซ์ราว 2,400 ล้านเครื่อง แต่ถือว่าพีซียังเป็นตลาดใหญ่"
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมพีซีก็พยายามปรับตัว ซึ่งถือเป็นพัฒนาการของพีซีที่ไม่จำกัดรูปแบบจอและคีย์บอร์ดเท่านั้น แต่เริ่มปรับเปลี่ยนให้ทำงานหลากหลายฟังก์ชันมากขึ้น เช่น ลูกผสมระหว่างโน้ตบุ๊คและแทบเล็ต หรือ 2 อิน 1 (ไฮบริด) ใช้จอทัชสกรีน มีระบบสั่งงานด้วยเสียง ที่คาดว่าจะเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมแพร่หลายในปี 2557 จากจำนวนสินค้าที่จะมีให้เลือกมากขึ้นและราคาที่เข้าถึงตลาดแมส
ปรับตัวหนีตาย
นายปฐม อินทโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เออาร์ไอพี ผู้จัดงานคอมมาร์ต กล่าวว่า ตลาดพีซีช่วงนี้อยู่ในจังหวะไม่สมดุลจากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะ "ว้าว แฟคเตอร์" ที่ไม่มีสิ่งดึงดูดใจผู้ซื้อประกอบกับกระแสของสมาร์ท ดีไวซ์ที่แรงกว่า
แต่จากการสำรวจตลาดพบว่า พฤติกรรมผู้ซื้อยุคนี้ 60-70% ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการซื้อ ซึ่งแม้โมบายจะมาแรงแต่ก็จะมีแบรนด์เพียงไม่กี่แบรนด์ที่มียอดขายได้เพราะคนเชื่อมั่นกับแบรนด์และความถูกใจมากกว่าจะซื้อเพราะคุณสมบัติของอุปกรณ์เหมือนที่ผ่านๆ มา
ขณะที่สถานการณ์ตลาดปัจจุบัน เช่น งานคอมมาร์ตที่เห็นการทำสงครามราคากันดุเดือด แต่ก็พบว่าราคายังไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่แต่ละแบรนด์จะทำยอดขายได้ดี ส่วนผู้ซื้อก็ยังอยู่ช่วงสับสนและปรับตัวไม่ทัน คาดว่าต้องใช้เวลาระยะหนึ่งผู้ซื้อจะเริ่มเข้าใจว่าอุปกรณ์ประเภทใดที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์หรือการใช้งานจริง
"ปัจจัยการซื้อทุกวันนี้ส่วนใหญ่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล แม้จะเอาราคามาสู้กันก็ใช่ว่าคนจะซื้อ ดังนั้นตลาดพีซีอาจต้องหันมาจับพรีเมียม เช่น พีซีสำหรับเกม ที่ยังมีกลุ่มที่ต้องการเครื่องสเปคสูงๆ โดยที่ไม่สนราคา เช่น ตลาดการแข่งขันเกม หรืองานออกแบบ"
นอกจากนี้ยังคาดว่าตลาดพีซีไทยปี 2557 จะปรับตัวดีขึ้นจากการหนีตายของพีซีที่กลายมาเป็นสินค้าไฮบริด และราคาที่จะลดลงมาเป็นจริงได้มากขึ้น หรือจากหลัก 4-5 หมื่นบาทเหลือหลักหมื่นต้นๆ ก็เป็นเจ้าของได้
เขา คาดการณ์ยอดขายพีซีรวมในตลาดไทยปีนี้ราว 3.5 ล้านเครื่อง ปรับลดจากต้นปีที่คาดว่าจะมียอดขายรวมราว 3.9 ล้านเครื่อง เทียบกับปี 2555 ยอดขายพีซีรวมในไทยอยู่ที่ 3.8 ล้านเครื่อง ส่วนภาพรวมตลาดไอทีปีนี้คาดว่าจะตกลง 9%
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/it/it/20131211/548931/%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%8B%E0%B8%B5-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.html#sthash.V1t25tGf.dpuf
ไม่มีความคิดเห็น: