24 ธันวาคม 2556 "เดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัล" ระบุ GOOGLE เตรียมส่ง MOTO G ด้วยราคาเพียง 199 เหรียญสหรัฐ อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้นำตลาดอย่าง "แอปเปิล" และ "ซัมซุง" ได้
ประเด็นหลัก
"เดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัล" รายงานว่า ส่วนธุรกิจโมโตโรล่าของ "กูเกิล" ตัดสินใจเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในชื่อ "Moto G" ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาด้วยราคาเพียง 199 เหรียญสหรัฐ โดยบริษัทวิจัยเทคอินไซท์ประมาณการว่า โทรศัพท์รุ่นดังกล่าวมีกำไรต่ำมาก เพราะต้นทุนชิ้นส่วนด้านในของ Moto G รุ่นที่มีความจุ 16 GB น่าจะอยู่ที่ 123 เหรียญสหรัฐเข้าไปแล้ว การตัดสินใจเล่นเกมแรงด้วย
กลยุทธ์ราคาของ "กูเกิล" กับโมโตโรล่าในครั้งนี้ อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้นำตลาดอย่าง "แอปเปิล" และ "ซัมซุง" ได้
"มาร์ก นิวแมน" นักวิเคราะห์บริษัท แซนฟอร์ด ซี เบิร์นสไตน์ แอนด์ โค (Sanford C. Bernstein & CO.) คาดการณ์ว่า หากรวมต้นทุนด้านอื่น ๆ ของ "Moto G" เข้าไปด้วยจะทำให้ผู้ผลิตมีกำไรน้อยกว่า 5% (ของราคาเครื่อง) ขณะที่โฆษกหญิงของโมโตโรล่าเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า โมโตโรล่าสามารถทำเงินได้จากการขายสินค้าทุกรุ่นต่างจาก "ซัมซุง" ที่น่าจะมีกำไรประมาณ 20% จากการขายโทรศัพท์ระดับกลางอย่าง Galaxy S3 Mini 1 เครื่อง และมีกำไรถึง 28% สำหรับสมาร์ทโฟนไฮเอนด์
เรือธง Galaxy S4 ขณะที่ข้อมูลจากบริษัทเทคอินไซท์ระบุว่า Galaxy S4 มีต้นทุนค่าแผงวงจรด้านในแพงกว่า Moto G ถึง 91 เหรียญสหรัฐ และราคาขายก็แพงกว่า Moto G ถึง 440 เหรียญสหรัฐ ในกรณีที่ซื้อเครื่องเปล่าไม่ผูกสัญญากับโอเปอเรเตอร์
______________________________________
"กูเกิล" ส่ง "Moto G" เปิดเกมราคา เพิ่มดีกรีแข่งดุตลาดสมาร์ทโฟนโลก
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำเสิร์ชเอ็นจิ้นโลกอย่าง "กูเกิล" และบริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จากแดนกิมจิอย่าง "ซัมซุง" ดูจะเป็นคู่หวานในวงการเทคโนโลยี เพราะ "กูเกิล" ได้ "ซัมซุง" เป็นหนึ่งในผู้ช่วยเผยแพร่ระบบปฏิบัติการ "แอนดรอยด์" จนได้รับความนิยมไปทั่วโลก และทำให้ "ซัมซุง" กลายเป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนโลกในที่สุด
กระทั่งเมื่อยักษ์เสิร์ชเอ็นจิ้น "กูเกิล" ขยับมายังตลาดฮาร์ดแวร์อย่างจริงจังบ้างกับการซื้อกิจการอดีตยักษ์มือถือ "โมโตโรล่า" พร้อมกับการตัดสินใจใช้กลยุทธ์ด้านราคากับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นใหม่ของ "โมโตโรล่า" ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงไม่หวานเหมือนเคย เมื่อคู่ค้ากลายเป็นคู่แข่ง
"เดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัล" รายงานว่า ส่วนธุรกิจโมโตโรล่าของ "กูเกิล" ตัดสินใจเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในชื่อ "Moto G" ในสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาด้วยราคาเพียง 199 เหรียญสหรัฐ โดยบริษัทวิจัยเทคอินไซท์ประมาณการว่า โทรศัพท์รุ่นดังกล่าวมีกำไรต่ำมาก เพราะต้นทุนชิ้นส่วนด้านในของ Moto G รุ่นที่มีความจุ 16 GB น่าจะอยู่ที่ 123 เหรียญสหรัฐเข้าไปแล้ว การตัดสินใจเล่นเกมแรงด้วย
กลยุทธ์ราคาของ "กูเกิล" กับโมโตโรล่าในครั้งนี้ อาจสร้างแรงกดดันต่อผู้นำตลาดอย่าง "แอปเปิล" และ "ซัมซุง" ได้
"มาร์ก นิวแมน" นักวิเคราะห์บริษัท แซนฟอร์ด ซี เบิร์นสไตน์ แอนด์ โค (Sanford C. Bernstein & CO.) คาดการณ์ว่า หากรวมต้นทุนด้านอื่น ๆ ของ "Moto G" เข้าไปด้วยจะทำให้ผู้ผลิตมีกำไรน้อยกว่า 5% (ของราคาเครื่อง) ขณะที่โฆษกหญิงของโมโตโรล่าเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า โมโตโรล่าสามารถทำเงินได้จากการขายสินค้าทุกรุ่นต่างจาก "ซัมซุง" ที่น่าจะมีกำไรประมาณ 20% จากการขายโทรศัพท์ระดับกลางอย่าง Galaxy S3 Mini 1 เครื่อง และมีกำไรถึง 28% สำหรับสมาร์ทโฟนไฮเอนด์
เรือธง Galaxy S4 ขณะที่ข้อมูลจากบริษัทเทคอินไซท์ระบุว่า Galaxy S4 มีต้นทุนค่าแผงวงจรด้านในแพงกว่า Moto G ถึง 91 เหรียญสหรัฐ และราคาขายก็แพงกว่า Moto G ถึง 440 เหรียญสหรัฐ ในกรณีที่ซื้อเครื่องเปล่าไม่ผูกสัญญากับโอเปอเรเตอร์
"โทนิ แซคโคนากิ" นักวิเคราะห์จากบริษัทเดียวกันคาดการณ์ว่า แอปเปิลน่าจะทำกำไรได้ราว 30% จากการขาย iPhone 5S แต่ละเครื่อง ขณะที่กำไรต่อเครื่องของ iPhone 5C น่าจะอยู่ที่ 35%
"เดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัล" ยังมองว่า ตั้งแต่กูเกิลตัดสินใจเข้าซื้อบริษัทโมโตโรล่าที่มีผลประกอบการขาดทุนมากถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555 ก็สร้างความไม่พอใจให้พันธมิตรธุรกิจของกูเกิลแล้ว เพราะทำให้ยักษ์เสิร์ชเอ็นจิ้นกลายเป็นคู่แข่งกับผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์อย่างซัมซุง เป็นต้น เมื่อมาวางขายสินค้าโดยกำหนดราคาที่มีสัดส่วนกำไรน้อยมาก ๆ อย่างนี้ยิ่งเป็นการสร้างแรงกดดันเพิ่มขึ้น
"มาร์ก นิวแมน" แสดงความเห็นว่า ซัมซุงไม่ต้องการตีตัวออกห่างจากระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ แต่หาก "กูเกิล" เดินกลยุทธ์ที่ไม่ต่างจากการเอาปืนมาจ่อขู่กันแบบนี้ก็อาจเป็นการบังคับให้ "ซัมซุง" ต้องถอนตัว
ขณะที่ "เดนิส วูดไซด์" ซีอีโอโมโตโรล่ากล่าวไว้ก่อนนี้ว่า คู่แข่งซึ่งเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือตั้งราคาเครื่องสูงเกินไป โดยเขามองว่ายังมีความต้องการและพื้นที่ในตลาดอีกไม่น้อยที่ไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร
กลยุทธ์การวางราคาสินค้าให้ต่ำกว่าคู่แข่งของ "กูเกิล" ยังเห็นได้จากเมื่อ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันลดราคากระหน่ำสินค้าออนไลน์ หรือ "ไซเบอร์ มันเดย์"
"โมโตโรล่า" เลือกที่จะลดราคาสมาร์ทโฟนไฮเอนด์รุ่น Moto X ที่เปิดตัวไปเมื่อ ส.ค.ที่ผ่านมา เหลือเพียง 350 เหรียญสหรัฐ แบบไม่ติดสัญญาโอเปอเรเตอร์แต่อย่างใด ราคานี้ถูกกว่าราคาปกติที่ 500 เหรียญสหรัฐถึง 30% โดย "กูเกิล" ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ความต้องการซื้อในวันนั้นทำให้เซิร์ฟเวอร์ของบริษัทล่มจนต้องออกมาขอโทษขอโพยเลยทีเดียว
"เนล มอว์สตัน" นักวิเคราะห์ บริษัท สแตรทิจี้ อะนาไลติกส์ มองว่า โมโตโรล่า ไม่น่าจะเข้าไปแข่งขันในสงครามราคา เพราะสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อตลาดโทรศัพท์มือถือแอนดรอยด์ทั้งในแง่ผู้ผลิตเครื่อง, ผู้ผลิตชิ้นส่วน และโอเปอเรเตอร์บางรายที่ไม่ต้องการเห็นการกดราคาเครื่องให้ต่ำจนเกินไป
สมาร์ทโฟน Moto G ออกมาเพื่อจับกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคาเป็นหลัก และไม่ได้อยู่ในตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว การไม่รองรับเครือข่ายเทคโนโลยี 4G LTE ทำให้ดูไม่น่าสนใจเท่าใดในตลาดสหรัฐอเมริกา แต่ "โมโตโรล่า" ให้ข้อมูลว่าโทรศัพท์รุ่นนี้เป็นสินค้าขายดีที่สุดในเว็บไซต์อเมซอนของอังกฤษ เยอรมนี และสเปนเลยทีเดียว
ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ "กูเกิล" วางกลยุทธ์ราคา "Moto G" ต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งเป็นอย่างมาก อาทิ ในบราซิล Moto G รุ่นพื้นฐานสุด (แบบไม่ติดสัญญาบริการของโอเปอเรเตอร์) มีราคาแค่ 348 เหรียญสหรัฐเท่านั้น ถูกกว่าราคา iPhone 5C ถึง 500 เหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม "ซัมซุง" น่าจะได้รับกระทบมากที่สุดเพราะ 2 ใน 3 ของกำไรมาจากการขายมือถือ และ "ซัมซุง" ยังเป็นตัวควบคุมผลกำไรในกลุ่มผู้ผลิตแอนดรอยด์โฟน โดยข้อมูลจากบริษัทสแตรทิจี้ อะนาไลติกส์ ระบุว่า ซัมซุงครองส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก 31.4% ในไตรมาส 3 ของปีนี้
นักวิเคราะห์มองว่า จุดแข็งทางด้านสายผลิตภัณฑ์ที่มีมากมายและสเกลการผลิตขนาดใหญ่ทำให้ซัมซุงได้เปรียบกว่าคู่แข่งมาก ถึงกระนั้น กลยุทธ์ "โมโตโรล่า" ไม่ได้เป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดแรงกดดันด้านราคา "สมาร์ทโฟน" แต่การแข่งขันที่รุนแรงในจีน ซึ่งมีสมาร์ทโฟนหน้าใหม่ "เซียวมิ"
เข้าสู่ตลาดโดยประกาศราคาขายรุ่น "ไฮเอนด์" ในราคาเกือบเท่าทุน ด้วยหวังจะสร้างกำไรจากการขายอุปกรณ์เสริมของโทรศัพท์ก็เป็นอีกแรงกดดันที่สำคัญ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1387775984
ไม่มีความคิดเห็น: