Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

29 ธันวาคม 2556 รอยเตอร์ ระบุ APPLE จับมือ ไชน่าโมบาย มีโอกาสได้ลูกค้าใหม่มากกว่า 17 ล้านคน (ไบรอัน แวง) ระบุ ขอเพียง "แอปเปิล" กินส่วนแบ่งลูกค้าไฮเอนด์จากฐานลูกค้า "ไชน่าโมบาย" กว่า 759 ล้านคนเพียงจำนวนหนึ่งก็น่าจะเกินพอแล้ว


ประเด็นหลัก


สำนักข่าวรอยเตอร์สมองว่า หลังจากแอปเปิลบุกตลาดจีนอย่างหนักหน่วงมานาน จึงเริ่มเดินแผนแย่งลูกค้าชาวจีนอย่างจริงจังแล้ว โดยความร่วมมือกับ "ไชน่าโมบาย" จะทำให้แอปเปิลมีโอกาสได้ลูกค้าใหม่มากกว่า 17 ล้านคน ซึ่งขณะนี้ไชน่าโมบายอ้างว่า ตนมีฐานลูกค้าที่ใช้ไอโฟนประมาณ 45 ล้านคนแล้ว และแอปเปิลอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีหน้า แต่หลังจากนั้นแอปเปิลจะพบว่า ตนต้องตกอยู่ในสถานการณ์การแข่งขันแบบเดิมกับคู่แข่งรายหลักอย่าง "ซัมซุง" โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ของ "แอปเปิล" ทีละเล็กทีละน้อย

"เบน ทอมป์สัน" นักเขียนจากเว็บไซต์ stratechery.com แสดงความเห็นว่า วิธีที่ง่ายที่สุดที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้ไอโฟนคือการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งในตอนนี้แอปเปิลเดินมาถึงปลายทางของแผนกระจายสินค้าของตนเองแล้ว ดังนั้นต่อไปนี้จะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการแย่งฐานลูกค้าของคู่แข่ง

อย่าง ไรก็ตาม ผลประกอบการของ "แอปเปิล" ในจีนยังมีลักษณะผสมปนเปกันไป เนื่องจากแม้ในบางพื้นที่จะมีลูกค้าเข้ามาต่อคิวซื้อไอโฟนรุ่นใหม่เป็นจำนวน มาก แต่แอปเปิลก็ต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากคู่แข่งรายอื่นที่จำหน่ายสมาร์ท โฟนในราคาที่ถูกกว่า

การที่โอเปอเรเตอร์รายใหญ่รายสุดท้ายในจีน "ไชน่าโมบาย" เซ็นสัญญากับแอปเปิล เป็นสัญญาณให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิสมาร์ทโฟน เนื่องจากเมื่ออัตราการเข้าถึงของลูกค้าไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป การตลาดจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อจากนี้แทน โดยนักวิเคราะห์คาดว่าซัมซุงวางแผนทุ่มงบฯการตลาดสำหรับทำโฆษณามากกว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วน 5.4% จากยอดขายทั้งหมด โดยเน้นไปที่การลงสื่อและการทำโปรโมชั่นพิเศษ ขณะที่ "แอปเปิล" ยังใช้งบฯการตลาดแค่ 0.6% จากยอดขายเท่านั้น

"ไบรอัน แวง" นักวิเคราะห์บริษัทฟอเรสเตอร์รีเสิร์ชวิเคราะห์ว่า แอปเปิลต้องเพิ่มงบประมาณด้านการตลาดอย่างแน่นอน เพราะแม้ยักษ์สมาร์ทโฟนรายนี้จะสามารถเพิ่มรายได้ในจีนจากการทำสัญญากับไช น่าโมบาย แต่คำถามสำคัญคือ หลังจากนี้จะทำอย่างไรให้แข่งขันในตลาดต่อไปได้

อีก ปัญหาคือผู้บริโภคชาวจีนนิยมซื้อสมาร์ทโฟนราคาถูก ข้อมูลจากบริษัทวิจัยคานาลิสระบุว่า ชาวจีนกว่า 88% ซื้อสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 500 เหรียญสหรัฐช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาไอโฟน 5S และ 5C ในจีนอยู่ที่ 868 เหรียญสหรัฐ และ 737 เหรียญสหรัฐ ตามลำดับ

ถึงกระนั้น ขอเพียง "แอปเปิล" กินส่วนแบ่งลูกค้าไฮเอนด์จากฐานลูกค้า "ไชน่าโมบาย" กว่า 759 ล้านคนเพียงจำนวนหนึ่งก็น่าจะเกินพอแล้ว

______________________________________


"ไอโฟน (5S)" รุกตีตลาดแดนมังกร ความสำเร็จก้าวแรกของ "แอปเปิล"



กลยุทธ์ ธุรกิจของ "แอปเปิล" ในปีนี้ดูจะไปได้สวยกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ แม้จะไม่มี "ไอโฟน" ราคาถูกออกมา แต่การตอบรับไอโฟน 5S กลับออกมาดีเกินคาดจากผู้บริโภคทั่วโลก

ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศจีน ที่ให้ความสำคัญกับสมาร์ทโฟน "ราคาถูก" โดยมี "ไอโฟน 5S" เป็นตัวแปรสำคัญในการรุกตลาดแดนมังกร และอาจถึงขั้นช่วยให้ "แอปเปิล" ขึ้นแท่นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับ 1 ได้ไม่ยาก

"เดอะ การ์เดี้ยน" รายงานว่า "ไอโฟน 5S" ของแอปเปิลทำยอดขายช่วงเปิดตัวในประเทศจีนได้น่าประทับใจ โดยบริษัทวิจัยการตลาด "เคาน์เตอร์พอยท์" ระบุว่า ไอโฟน 5S มีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดสมาร์ทโฟนในจีนประมาณ 12% ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ตัวเลขดังกล่าวเป็นยอดขายที่เกิดขึ้นก่อนที่แอปเปิลจะทำสัญญาความร่วมมือ ธุรกิจกับ "ไชน่าโมบาย" ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในโลกเสียอีก

"ไชน่าโมบาย" น่าจะเริ่มเปิดให้ผู้บริโภคสั่งซื้อ "ไอโฟน" ล่วงหน้าก่อนการเปิดตัวเครือข่าย 4G อย่างเป็นทางการภายในเดือน ธ.ค.นี้

จากการที่ "ไอโฟน 5S" ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าในจีน ส่งผลให้ "ไอโฟน" ตัวท็อปที่มาพร้อมฟังก์ชั่นสแกนลายนิ้วมือ กลายเป็นโทรศัพท์ที่ขายดีที่สุดในโลกในเดือน ต.ค.ไปโดยปริยาย โดย ข้อมูลจากบริษัทมิกซ์พาเนลระบุว่า เวลานี้ไอโฟน 5S กินสัดส่วน 10% ส่วนไอโฟน 5C แม้จะมีราคาย่อมเยากว่า แต่กลับได้รับความนิยมน้อยกว่า โดยมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 3.4% จากฐานผู้ใช้ไอโฟน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากมิกซ์พาเนลยังอยู่ในรูปของสัดส่วน ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่า ยอดผู้ใช้งานไอโฟนมีแนวโน้มลดลง เพิ่มขึ้นหรือเท่าเดิม

ฝั่งข้อมูล จากบริษัทวิจัย "คอมสกอร์" ระบุว่า จำนวนผู้ใช้ไอโฟนในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นประมาณ 2.7 ล้านเครื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้พอตีความได้ว่า จำนวนเจ้าของเครื่องไอโฟนยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากฐานผู้ใช้งานไอโฟนทั้งหมด

"ทอม คาง" นักวิเคราะห์จากบริษัทเคาน์เตอร์พอยต์กล่าวว่า แม้ไอโฟน 5S จะไม่ได้สร้างปรากฏการณ์คนต่อคิวซื้อยาวเป็นหางว่าวเหมือนตอนเปิดตัวไอโฟน 4S เมื่อต้นปี 2555 แต่หากมองในแง่ยอดขายรวมใน 1 เดือน ไอโฟน 5S ประสบความสำเร็จมากกว่าไอโฟน 5 ที่เปิดตัวในเดือน ธ.ค.ปีที่ผ่านมา โดยในเดือน ต.ค. ไอโฟน 5S เป็นสมาร์ทโฟนที่ทำยอดขายในจีนได้มากเป็นอันดับ 1 รองลงมาเป็นไอโฟน 5 ขณะที่ "ซัมซุง" กาแล็คซี่ เอส 4 ตามมาเป็นอันดับ 3 และไอโฟน 5C อยู่อันดับ 4

"เนล ชาห์" นักวิเคราะห์อีกคนจากบริษัทเดียวกันให้ข้อมูลว่า ส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนในจีนของ "แอปเปิล" กระโดดขึ้นมาเป็น 12% ในเดือน ต.ค. เพิ่มขึ้นอย่างมากหากเทียบกับส่วนแบ่งตลาดเดือน ก.ย. ที่มีอยู่ประมาณ 3% ส่งผลให้ "แอปเปิล" กลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอันดับ 3 ในแดนมังกรเรียบร้อย

การก้าวกระโดดแบบปัจจุบันทันด่วนของ "แอปเปิล" บ่งชี้ให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้ผู้บริโภคชาวจีนชะลอการซื้อเพื่อรอโทรศัพท์รุ่นใหม่ ซึ่งก็คือไอโฟน 5S นั่นเอง เนื่องจากหลายคนมองว่ามันเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะทางสังคมสำหรับประชาชนที่มี ฐานะค่อนข้างดี เมื่อผนวกกับการเปิดตัวไอโฟนบนเครือข่าย "ไชน่าโมบาย" ที่มีฐานลูกค้ากว่า 750 ล้านคน จะทำให้ "แอปเปิล" มีโอเปอเรเตอร์เป็นพันธมิตรครบทั้ง 3 เจ้าใหญ่ในจีน

"ทอม" คาดว่า การที่โอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 รายวางจำหน่ายไอโฟน 5S จะจุดชนวนสงครามราคาที่ยิ่งเพิ่มยอดขายไอโฟนไฮเอนด์รุ่นล่าสุดนี้ และด้วยปัจจัยนี้เองที่ทำให้เขาเชื่อว่าแอปเปิลจะเขยิบขึ้นไปเป็นแบรนด์ อันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนในจีนในเดือน ธ.ค.นี้หรือไม่ก็ ม.ค.ปีหน้า

ตลาด ประเทศจีนเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งเป็น 1 ในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด โดยบริษัทวิจัยการตลาด "ไอดีซี" เปิดเผยข้อมูลตัวเลขยอดขายสมาร์ทโฟนในช่วงไตรมาส 3 ปี 2556 อยู่ที่ 87.7 ล้านเครื่อง เติบโตประมาณ 52% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ขณะที่ในตลาดโลกมีอัตราการเติบโตประมาณ 40% เท่านั้น

แบรนด์ที่ทำยอด ขายในจีนในไตรมาส 3 เป็นอันดับหนึ่งยังเป็น "ซัมซุง" กวาดยอดขายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 6 ล้านเครื่อง โดยส่วนแบ่งการตลาดในจีนของซัมซุงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากกลยุทธ์ลดราคาเครื่องและการเปิดตัวกาแล็คซี่ โน้ต 3

"ปีเตอร์ ริชาร์ดสัน" นักวิเคราะห์บริษัทเคาน์เตอร์พอยต์ให้ข้อมูลว่า ยอดขายโน้ต 3 ที่พุ่งสูงขึ้นรวดเร็ว ส่งผลให้แท็บเลตรุ่นนี้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกในเดือน ก.ย.เลยทีเดียว

สำนักข่าวรอยเตอร์สมองว่า หลังจากแอปเปิลบุกตลาดจีนอย่างหนักหน่วงมานาน จึงเริ่มเดินแผนแย่งลูกค้าชาวจีนอย่างจริงจังแล้ว โดยความร่วมมือกับ "ไชน่าโมบาย" จะทำให้แอปเปิลมีโอกาสได้ลูกค้าใหม่มากกว่า 17 ล้านคน ซึ่งขณะนี้ไชน่าโมบายอ้างว่า ตนมีฐานลูกค้าที่ใช้ไอโฟนประมาณ 45 ล้านคนแล้ว และแอปเปิลอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีหน้า แต่หลังจากนั้นแอปเปิลจะพบว่า ตนต้องตกอยู่ในสถานการณ์การแข่งขันแบบเดิมกับคู่แข่งรายหลักอย่าง "ซัมซุง" โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ของ "แอปเปิล" ทีละเล็กทีละน้อย

"เบน ทอมป์สัน" นักเขียนจากเว็บไซต์ stratechery.com แสดงความเห็นว่า วิธีที่ง่ายที่สุดที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้ไอโฟนคือการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งในตอนนี้แอปเปิลเดินมาถึงปลายทางของแผนกระจายสินค้าของตนเองแล้ว ดังนั้นต่อไปนี้จะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการแย่งฐานลูกค้าของคู่แข่ง

อย่าง ไรก็ตาม ผลประกอบการของ "แอปเปิล" ในจีนยังมีลักษณะผสมปนเปกันไป เนื่องจากแม้ในบางพื้นที่จะมีลูกค้าเข้ามาต่อคิวซื้อไอโฟนรุ่นใหม่เป็นจำนวน มาก แต่แอปเปิลก็ต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากคู่แข่งรายอื่นที่จำหน่ายสมาร์ท โฟนในราคาที่ถูกกว่า

การที่โอเปอเรเตอร์รายใหญ่รายสุดท้ายในจีน "ไชน่าโมบาย" เซ็นสัญญากับแอปเปิล เป็นสัญญาณให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิสมาร์ทโฟน เนื่องจากเมื่ออัตราการเข้าถึงของลูกค้าไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป การตลาดจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อจากนี้แทน โดยนักวิเคราะห์คาดว่าซัมซุงวางแผนทุ่มงบฯการตลาดสำหรับทำโฆษณามากกว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วน 5.4% จากยอดขายทั้งหมด โดยเน้นไปที่การลงสื่อและการทำโปรโมชั่นพิเศษ ขณะที่ "แอปเปิล" ยังใช้งบฯการตลาดแค่ 0.6% จากยอดขายเท่านั้น

"ไบรอัน แวง" นักวิเคราะห์บริษัทฟอเรสเตอร์รีเสิร์ชวิเคราะห์ว่า แอปเปิลต้องเพิ่มงบประมาณด้านการตลาดอย่างแน่นอน เพราะแม้ยักษ์สมาร์ทโฟนรายนี้จะสามารถเพิ่มรายได้ในจีนจากการทำสัญญากับไช น่าโมบาย แต่คำถามสำคัญคือ หลังจากนี้จะทำอย่างไรให้แข่งขันในตลาดต่อไปได้

อีก ปัญหาคือผู้บริโภคชาวจีนนิยมซื้อสมาร์ทโฟนราคาถูก ข้อมูลจากบริษัทวิจัยคานาลิสระบุว่า ชาวจีนกว่า 88% ซื้อสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 500 เหรียญสหรัฐช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาไอโฟน 5S และ 5C ในจีนอยู่ที่ 868 เหรียญสหรัฐ และ 737 เหรียญสหรัฐ ตามลำดับ

ถึงกระนั้น ขอเพียง "แอปเปิล" กินส่วนแบ่งลูกค้าไฮเอนด์จากฐานลูกค้า "ไชน่าโมบาย" กว่า 759 ล้านคนเพียงจำนวนหนึ่งก็น่าจะเกินพอแล้ว

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1388136169งชี้ให้เห็นว่า ก่อนหน้านี้ผู้บริโภคชาวจีนชะลอการซื้อเพื่อรอโทรศัพท์รุ่นใหม่ ซึ่งก็คือไอโฟน 5S นั่นเอง เนื่องจากหลายคนมองว่ามันเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะทางสังคมสำหรับประชาชนที่มี ฐานะค่อนข้างดี เมื่อผนวกกับการเปิดตัวไอโฟนบนเครือข่าย "ไชน่าโมบาย" ที่มีฐานลูกค้ากว่า 750 ล้านคน จะทำให้ "แอปเปิล" มีโอเปอเรเตอร์เป็นพันธมิตรครบทั้ง 3 เจ้าใหญ่ในจีน

"ทอม" คาดว่า การที่โอเปอเรเตอร์ทั้ง 3 รายวางจำหน่ายไอโฟน 5S จะจุดชนวนสงครามราคาที่ยิ่งเพิ่มยอดขายไอโฟนไฮเอนด์รุ่นล่าสุดนี้ และด้วยปัจจัยนี้เองที่ทำให้เขาเชื่อว่าแอปเปิลจะเขยิบขึ้นไปเป็นแบรนด์ อันดับ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนในจีนในเดือน ธ.ค.นี้หรือไม่ก็ ม.ค.ปีหน้า

ตลาด ประเทศจีนเป็นตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งเป็น 1 ในตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด โดยบริษัทวิจัยการตลาด "ไอดีซี" เปิดเผยข้อมูลตัวเลขยอดขายสมาร์ทโฟนในช่วงไตรมาส 3 ปี 2556 อยู่ที่ 87.7 ล้านเครื่อง เติบโตประมาณ 52% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีที่แล้ว ขณะที่ในตลาดโลกมีอัตราการเติบโตประมาณ 40% เท่านั้น

แบรนด์ที่ทำยอด ขายในจีนในไตรมาส 3 เป็นอันดับหนึ่งยังเป็น "ซัมซุง" กวาดยอดขายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 6 ล้านเครื่อง โดยส่วนแบ่งการตลาดในจีนของซัมซุงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากกลยุทธ์ลดราคาเครื่องและการเปิดตัวกาแล็คซี่ โน้ต 3

"ปีเตอร์ ริชาร์ดสัน" นักวิเคราะห์บริษัทเคาน์เตอร์พอยต์ให้ข้อมูลว่า ยอดขายโน้ต 3 ที่พุ่งสูงขึ้นรวดเร็ว ส่งผลให้แท็บเลตรุ่นนี้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลกในเดือน ก.ย.เลยทีเดียว

สำนักข่าวรอยเตอร์สมองว่า หลังจากแอปเปิลบุกตลาดจีนอย่างหนักหน่วงมานาน จึงเริ่มเดินแผนแย่งลูกค้าชาวจีนอย่างจริงจังแล้ว โดยความร่วมมือกับ "ไชน่าโมบาย" จะทำให้แอปเปิลมีโอกาสได้ลูกค้าใหม่มากกว่า 17 ล้านคน ซึ่งขณะนี้ไชน่าโมบายอ้างว่า ตนมีฐานลูกค้าที่ใช้ไอโฟนประมาณ 45 ล้านคนแล้ว และแอปเปิลอาจมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีหน้า แต่หลังจากนั้นแอปเปิลจะพบว่า ตนต้องตกอยู่ในสถานการณ์การแข่งขันแบบเดิมกับคู่แข่งรายหลักอย่าง "ซัมซุง" โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ของ "แอปเปิล" ทีละเล็กทีละน้อย

"เบน ทอมป์สัน" นักเขียนจากเว็บไซต์ stratechery.com แสดงความเห็นว่า วิธีที่ง่ายที่สุดที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้ไอโฟนคือการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย ซึ่งในตอนนี้แอปเปิลเดินมาถึงปลายทางของแผนกระจายสินค้าของตนเองแล้ว ดังนั้นต่อไปนี้จะเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการแย่งฐานลูกค้าของคู่แข่ง

อย่าง ไรก็ตาม ผลประกอบการของ "แอปเปิล" ในจีนยังมีลักษณะผสมปนเปกันไป เนื่องจากแม้ในบางพื้นที่จะมีลูกค้าเข้ามาต่อคิวซื้อไอโฟนรุ่นใหม่เป็นจำนวน มาก แต่แอปเปิลก็ต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากคู่แข่งรายอื่นที่จำหน่ายสมาร์ท โฟนในราคาที่ถูกกว่า

การที่โอเปอเรเตอร์รายใหญ่รายสุดท้ายในจีน "ไชน่าโมบาย" เซ็นสัญญากับแอปเปิล เป็นสัญญาณให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสมรภูมิสมาร์ทโฟน เนื่องจากเมื่ออัตราการเข้าถึงของลูกค้าไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป การตลาดจะเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อจากนี้แทน โดยนักวิเคราะห์คาดว่าซัมซุงวางแผนทุ่มงบฯการตลาดสำหรับทำโฆษณามากกว่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ คิดเป็นสัดส่วน 5.4% จากยอดขายทั้งหมด โดยเน้นไปที่การลงสื่อและการทำโปรโมชั่นพิเศษ ขณะที่ "แอปเปิล" ยังใช้งบฯการตลาดแค่ 0.6% จากยอดขายเท่านั้น

"ไบรอัน แวง" นักวิเคราะห์บริษัทฟอเรสเตอร์รีเสิร์ชวิเคราะห์ว่า แอปเปิลต้องเพิ่มงบประมาณด้านการตลาดอย่างแน่นอน เพราะแม้ยักษ์สมาร์ทโฟนรายนี้จะสามารถเพิ่มรายได้ในจีนจากการทำสัญญากับไช น่าโมบาย แต่คำถามสำคัญคือ หลังจากนี้จะทำอย่างไรให้แข่งขันในตลาดต่อไปได้

อีก ปัญหาคือผู้บริโภคชาวจีนนิยมซื้อสมาร์ทโฟนราคาถูก ข้อมูลจากบริษัทวิจัยคานาลิสระบุว่า ชาวจีนกว่า 88% ซื้อสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 500 เหรียญสหรัฐช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ขณะที่ราคาไอโฟน 5S และ 5C ในจีนอยู่ที่ 868 เหรียญสหรัฐ และ 737 เหรียญสหรัฐ ตามลำดับ

ถึงกระนั้น ขอเพียง "แอปเปิล" กินส่วนแบ่งลูกค้าไฮเอนด์จากฐานลูกค้า "ไชน่าโมบาย" กว่า 759 ล้านคนเพียงจำนวนหนึ่งก็น่าจะเกินพอแล้ว

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1388136169

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.