17 มกราคม 2557 เบนจามิน.ซาโลร่า ระบุ ขาช็อปไทยซื้อของผ่าน "เน็ต" กระฉูด ปัจจุบันมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 15% ทุกเดือน แม้ประเทศไทยจะมีปัญหาด้านการเมือง!!! เหตุสินค้าดี ราคาถูก
ประเด็นหลัก
นายเบนจามิน ทอมป์สัน รองประธานฝ่ายการตลาด บริษัท ซาโลร่า ประเทศไทย จำกัด เจ้าของเว็บไซต์อีแฟชั่น ซาโลร่า เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ซาโลร่าเป็นเว็บไซต์แฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเกือบ 2 ปี ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 700,000 ราย และมียอดผู้เข้าชมเว็บไซต์กว่า 100,000 รายต่อวัน ปัจจุบันมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 15% ทุกเดือน เนื่องจากธุรกิจแฟชั่นในไทยเติบโตดีมาก สอดรับกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่โตขึ้นทุกปีเช่นกัน จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้บริษัทโตอย่างต่อเนื่อง
"แม้ประเทศไทยจะมีปัญหาด้านการเมือง แต่เชื่อว่าไม่มีผลกระทบกับธุรกิจแน่นอน อาจเป็นผลดีเพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากออกมาข้างนอกแต่อยากช็อปปิ้ง ทางเลือกที่ดีสุดคงไม่พ้นการช็อปปิ้งบนโลกออนไลน์ ซาโลร่าก็น่าจะเป็นเว็บไซต์อีแฟชั่นที่เหมาะที่สุด ด้วยจุดเด่นด้านปริมาณสินค้าคุณภาพ และราคาที่ถูกกว่า 20-30%"
______________________________________
ขาช็อปไทยซื้อของผ่าน "เน็ต" กระฉูด สินค้าแฟชั่นสุดฮอต "ซาโลร่า" รายได้โต 15% ทุกเดือน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เทรนด์แฟชั่น-แบรนด์ดังดันยอดช็อปออนไลน์ไทยโต 15% ทุกเดือน "ซาโลร่า"เตรียมขนอีกกว่า 50 แบรนด์ระดับโลกเสริมทัพ พร้อมจับมือเซเว่นอีเลฟเว่นให้เป็นจุดรับสินค้า รับกำลังซื้อต่างจังหวัดที่แซงหน้าคนกรุงไปแล้ว มั่นใจอีก 6 ปีตลาดอีคอมเมิร์ซจะแตะ 12% ของตลาดรวมค้าปลีก
นายเบนจามิน ทอมป์สัน รองประธานฝ่ายการตลาด บริษัท ซาโลร่า ประเทศไทย จำกัด เจ้าของเว็บไซต์อีแฟชั่น ซาโลร่า เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ซาโลร่าเป็นเว็บไซต์แฟชั่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเกือบ 2 ปี ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 700,000 ราย และมียอดผู้เข้าชมเว็บไซต์กว่า 100,000 รายต่อวัน ปัจจุบันมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 15% ทุกเดือน เนื่องจากธุรกิจแฟชั่นในไทยเติบโตดีมาก สอดรับกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่โตขึ้นทุกปีเช่นกัน จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้บริษัทโตอย่างต่อเนื่อง
"แม้ประเทศไทยจะมีปัญหาด้านการเมือง แต่เชื่อว่าไม่มีผลกระทบกับธุรกิจแน่นอน อาจเป็นผลดีเพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากออกมาข้างนอกแต่อยากช็อปปิ้ง ทางเลือกที่ดีสุดคงไม่พ้นการช็อปปิ้งบนโลกออนไลน์ ซาโลร่าก็น่าจะเป็นเว็บไซต์อีแฟชั่นที่เหมาะที่สุด ด้วยจุดเด่นด้านปริมาณสินค้าคุณภาพ และราคาที่ถูกกว่า 20-30%"
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทจะเพิ่มแบรนด์สินค้าในเว็บไซต์ให้มากขึ้น โดยนำแบรนด์ใหญ่ ๆ จากทั่วโลกมาลงกว่า 50 แบรนด์ และแบรนด์ไทยที่มีชื่ออีกกว่า 100-300 แบรนด์ จากปัจจุบันมีกว่า 400 แบรนด์ในเว็บ ทำให้มีสินค้าประมาณ 16,000-17,000 ชิ้น ประเภทสินค้าที่ขายดีที่สุด ได้แก่ รองเท้าผู้หญิง รองลงมาเป็นรองเท้าผู้ชาย เสื้อผ้าผู้หญิง กระเป๋าผู้หญิง และเสื้อผ้าผู้ชาย ราคาอยู่ระหว่าง 800-1,200 บาท
ขณะเดียวกัน ยังมีแผนพัฒนาระบบการขนส่งสินค้าใหญ่ขึ้น เพื่อตอบรับความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้น ปัจจุบันการขนส่งสินค้าของซาโลร่ามีทั้งบริหารตนเอง โดยมีพนักงานกว่า 60-70 คน แต่ยังไม่เพียงพอกับยอดสั่งซื้อจึงต้องใช้บริการโลจิสติกส์รายอื่นด้วย และในเดือน ม.ค.นี้ได้เปิดให้ลูกค้ารับสินค้าผ่านร้านเซเว่นอีเลฟเว่นได้ด้วย ทำให้เพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้รับสินค้า โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลการขนส่งลำบาก หรือไม่ค่อยอยู่บ้าน
"ลูกค้าซาโลร่าสามารถระบุวิธีการจัดส่ง เลือกรับสินค้าว่าจะให้ไปส่งที่เซเว่นอีเลฟเว่นที่สาขาใดก็ได้ทั่วประเทศ แค่ชำระเงินด้วยบัตรเครดิตหรือเดบิต แล้วเลือกรับสินค้าที่เซเว่นฯหลังได้รับแจ้งผ่าน SMS ภายใน 7 วัน โดยสินค้าจะจัดส่งภายใน 1-3 วันหลังสั่งซื้อ การรับสินค้าผ่านเซเว่นฯน่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี เพราะสาขามากถึง 7,200 สาขา เราเคยทำวิธีการนี้ในต่างประเทศ ผลตอบรับไม่ดีเท่าที่ควรเพราะมีสาขาน้อย แตกต่างจากประเทศไทยที่เดินไปไหนก็มีเซเว่นฯ"
ขณะเดียวกัน ช่องทางนี้จะตอบสนองกับยอดสั่งซื้อของเว็บไซต์ที่ปัจจุบันกว่า 60% มาจากต่างจังหวัด ที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนมียอดสั่งซื้อมากกว่าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลไปแล้ว เนื่องจากในต่างจังหวัดยังมีห้างสรรพสินค้าไม่สมดุลกับความต้องการซื้อสินค้าของคนในพื้นที่ ทำให้การสั่งซื้อออนไลน์เป็นทางออกสำคัญ โดยจะมีโปรโมชั่นส่วนลดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับเทศกาลและสถานการณ์
ส่วนวิธีชำระเงินปัจจุบันกว่า 70% ชำระด้วยเงินสดเมื่อสินค้ามาส่ง มีเพียง 30% ที่ชำระเงินด้วยบัตรเครดิต แต่เชื่อว่าต่อไปการชำระเงินด้วยบัตรเครดิตจะมีมากขึ้น เพราะคนไทยส่วนใหญ่กล้าที่จะซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น แต่อาจมีปัญหาบ้างเรื่องวิธีใช้งาน เพราะเป็นเรื่องใหม่จึงมีการสอนวิธีใช้ผ่านเว็บไซต์เพื่อให้สะดวกมากขึ้น
"คู่แข่งด้านธุรกิจตอนนี้เรายังไม่ได้มองถึง เพราะมีพาร์ตเนอร์อย่างลาซาด้า เว็บช็อปปิ้งออนไลน์ที่มีทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสินค้าความสวยงาม ไอที และฟู้ดแพนด้า เว็บไซต์สั่งอาหารออนไลน์ ทำให้มีสินค้าครอบคลุมทั้งหมด โดยปลายปีที่แล้วยังมีการลงทุนเพิ่มกว่า 112 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อนำไปใช้สำหรับพัฒนาธุรกิจอีแฟชั่นในเครือซาโลร่าทั้ง 8 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฯลฯ เพื่อความเป็นอันดับ 1"
สำหรับยอดขายซาโลร่าในประเทศไทยเมื่อเทียบกับอีก 8 ประเทศ ถือว่าอยู่ในอันดับ 3 เนื่องจากไทยมีห้างสรรพสินค้ามากกว่าประเทศอื่น ทำให้ยอดช็อปปิ้งผ่านอินเทอร์เน็ตยังไม่มากเท่ามาเลเซียที่ยอดขายอันดับ 1 กับสิงคโปร์ที่เป็นอันดับ 2 และเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ซาโลร่าในภูมิภาคนี้
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยโตต่อเนื่องทุกปี แม้ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซมีมูลค่าเพียง 1% ของมูลค่ารวมตลาดค้าปลีก แต่เชื่อว่าอีก 5-6 ปีข้างหน้าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 10-12% จากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่มากขึ้นเป็น 25 ล้านคนภายในปีนี้ รวมถึงการใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ล้วนช่วยผลักดันให้ยอดขายอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น เห็นได้จากเวลานี้ที่มีผู้เข้าเว็บผ่านสมาร์ทโฟนถึง 40% และมียอดสั่งซื้อผ่านโมบายแอปพลิเคชั่นกว่า 20-35% แม้จะมียอดดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นนี้เพียง 60,000 ครั้ง แต่ปัจจุบันมียอดดาวน์โหลดต่อวันเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 1,000 ครั้ง
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1389960054
ไม่มีความคิดเห็น: