18 กุมภาพันธ์ 2557 จับตัวคนขาย iPHONE เครื่องละ 12,000 บาท โดยระยะแรกจะส่งสินค้าให้จริง ทำให้ผู้เสียหายเกิดความเชื่อใจ บางรายหลงเชื่อแล้วต้องสูญเสียเงินไปกว่า 24 ล้านบาท
ประเด็นหลัก
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า ตามแนวทางการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาซึ่งเปิดร้านคาร์แคร์ จะอ้างกับผู้เสียหายว่า สามารถหาซื้อโทรศัพท์ไอโฟน ได้ในราคาถูก และชักชวนลูกค้าให้ร่วมลงทุน โดยระยะแรกจะส่งสินค้าให้จริง ทำให้ผู้เสียหายเกิดความเชื่อใจ รวมทั้งเห็นว่าเป็นสินค้าของแท้ที่นำไปขายทำกำไรได้มาก จึงสั่งสินค้าในจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งระหว่างนั้นผู้ต้องหาก็จะนำเงินไปเป็นทุนหมุนเวียนซื้อสินค้าไปให้กับเหยื่อรายอื่นๆ ต่อไป โดยผู้เสียหายบางรายหลงเชื่อแล้วต้องสูญเสียเงินไปกว่า 24 ล้านบาท ก่อนที่ผู้ต้องหาจะหลบหนีไปและไม่สามารถติดต่อได้อีก
ด้าน น.ส.แจง (นามสมมติ) พนักงานบริษัทเอกชน หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2556 ได้รู้จักกับผู้ต้องหาผ่านเพื่อนที่ติดต่อซื้อขายโทรศัพท์ไอโฟน กันแล้ว สามารถนำไปขายทำกำไรได้จริง ซึ่งแม้ว่าตนจะทำงานประจำอยู่แล้ว แต่ก็อยากหารายได้เสริมจึงทดลองสั่งซื้อโทรศัพท์ไอโฟน ครั้งแรกจำนวน 5 เครื่อง ในราคาเครื่องละ 12,000 บาท ก่อนจะโอนเงินให้กับผู้ต้องหา จากนั้นก็ได้รับเครื่อง นำไปขายต่อในราคา 20,000-21,000 บาท ได้กำไรต่อเครื่องประมาณ 8,000 บาท โดยราคาดังกล่าวก็ยังเป็นราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดอยู่ เมื่อเห็นว่าได้กำไรจริงก็สั่งสินค้าเพิ่มขึ้นโดยที่ผ่านมาก็จะได้รับสินค้าไปขาย
น.ส.แจง เปิดเผยด้วยว่า กระทั่งต่อมาประมาณเดือนพฤศจิกายน 2556 ก็จะเริ่มได้รับสินค้าไม่ครบจำนวน แม้ว่าจะโอนเงินไปให้ผู้ต้องหาแล้ว เมื่อพยายามทวงถามก็จะได้รับคำตอบว่าติดขัดปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นเพียงการกล่าวอ้างเพื่อบ่ายเบี่ยง จนที่สุดตนก็ไม่ได้รับสินค้าอีกเลย โดยสูญเสียเงินไปกว่า 24 ล้านบาท เมื่อเชื่อว่าถูกหลวงลวง ก่อนจะพบว่ามีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ถูกผู้ต้องหากระทำการในลักษณะเดียวกัน จากนั้นจึงพากันเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาดังกล่าว
______________________________________
วันที่ 17 ก.พ. 57 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป. พ.ต.อ.อัครวุฒิ์ หลิมรัตน์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.นิคม ชัยเจริญ สว.กก.1 บก.ป. ร.ต.อ.ทรงพันธุ์ กุลดิลก ร.ต.อ.สิรวิชญ์ มหัทธนวิศิษฎ์ รอง สว.กก.1 บก.ป. แถลงข่าวจับกุม นายมนัส โชติขัน อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19/150 ซอยนวลจันทร์ 56 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กทม. และน.ส.บุศรินทร์ ยีโหนด อายุ 31 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 1052/3 ถนนเพนียด ต.คลัง อ.เมือง นครศรีธรรมราช สองสามีภรรยา ตามหมายจับศษลอาญาที่ 221 และ 222/2557 ลงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2557 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จับกุมได้ที่หน้าร้านคาร์แคร์ “แซดแอนด์ดับบลิว” เลขที่ 39 ซอยโชคชัย 4 แยก 63 แขวงและเขตลาดพร้าว กทม.
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 – 24 มกราคม 2557 ผู้ต้องหาได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหาย ให้ร่วมลงทุนซื้อโทรศัพท์ไอโฟน 5 (iPhone 5) ไอแพดมินิ (iPad Mini) และสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ อาทิ กระเป๋าแบบผู้หญิง โดยอ้างว่าสามารถหาซื้อมาได้ในราคาถูกกว่าราคาในท้องตลาด หากนำไปขายต่อจะทำกำไรได้เป็นเท่าตัว โดยมีผู้เสียหายกว่า 30 ราย ที่หลงเชื่อ สั่งซื้อสินค้าและโอนเงินให้ผู้ต้องหาผ่านทางบัญชีเงินฝากธนาคาร 2 บัญชี สร้างความเสียหายเป็นเงินกว่า 66 ล้านบาท
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวต่อว่า ตามแนวทางการสืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาซึ่งเปิดร้านคาร์แคร์ จะอ้างกับผู้เสียหายว่า สามารถหาซื้อโทรศัพท์ไอโฟน ได้ในราคาถูก และชักชวนลูกค้าให้ร่วมลงทุน โดยระยะแรกจะส่งสินค้าให้จริง ทำให้ผู้เสียหายเกิดความเชื่อใจ รวมทั้งเห็นว่าเป็นสินค้าของแท้ที่นำไปขายทำกำไรได้มาก จึงสั่งสินค้าในจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งระหว่างนั้นผู้ต้องหาก็จะนำเงินไปเป็นทุนหมุนเวียนซื้อสินค้าไปให้กับเหยื่อรายอื่นๆ ต่อไป โดยผู้เสียหายบางรายหลงเชื่อแล้วต้องสูญเสียเงินไปกว่า 24 ล้านบาท ก่อนที่ผู้ต้องหาจะหลบหนีไปและไม่สามารถติดต่อได้อีก
ผบก.ป.กล่าวอีกว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธ อย่างไรก็ดี ตามแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่า นายมนัส จะเป็นผู้เปิดบัญชีธนาคาร 2 บัญชี เพื่อรอรับการโอนเงินจากผู้เสียหายเข้ามา ก่อนจะนำเงินไปหมุนเวียนซื้อสินค้า ก่อนจะนำมาหลอกลวงผู้เสียหายรายอื่นๆ ซึ่ง
ขณะนี้ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างขยายผล โดยประสานกับทางธนารคารเจ้าของบัญชี เพื่อตรวจสอบยอดเงินและความเคลื่อนไหวของบัญชีดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบพฤติการณ์ข่มขู่ผู้เสียหายในรายที่โทรศัพท์มาสอบถาม โดยอ้างว่ามีปืนบ้าง หรือจะว่าจ้างมือปืนทำร้าย อย่างไรก็ดี คดีฉ้อโกงประชาชนมีโทษจำคุก 3 ปี ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงสามารถเข้าชี้ตัว เพื่อดำเนินคดีเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะแยกกัน 1 กรรม ก็ถือเป็น 1 คดี
ด้าน น.ส.แจง (นามสมมติ) พนักงานบริษัทเอกชน หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2556 ได้รู้จักกับผู้ต้องหาผ่านเพื่อนที่ติดต่อซื้อขายโทรศัพท์ไอโฟน กันแล้ว สามารถนำไปขายทำกำไรได้จริง ซึ่งแม้ว่าตนจะทำงานประจำอยู่แล้ว แต่ก็อยากหารายได้เสริมจึงทดลองสั่งซื้อโทรศัพท์ไอโฟน ครั้งแรกจำนวน 5 เครื่อง ในราคาเครื่องละ 12,000 บาท ก่อนจะโอนเงินให้กับผู้ต้องหา จากนั้นก็ได้รับเครื่อง นำไปขายต่อในราคา 20,000-21,000 บาท ได้กำไรต่อเครื่องประมาณ 8,000 บาท โดยราคาดังกล่าวก็ยังเป็นราคาที่ถูกกว่าท้องตลาดอยู่ เมื่อเห็นว่าได้กำไรจริงก็สั่งสินค้าเพิ่มขึ้นโดยที่ผ่านมาก็จะได้รับสินค้าไปขาย
น.ส.แจง เปิดเผยด้วยว่า กระทั่งต่อมาประมาณเดือนพฤศจิกายน 2556 ก็จะเริ่มได้รับสินค้าไม่ครบจำนวน แม้ว่าจะโอนเงินไปให้ผู้ต้องหาแล้ว เมื่อพยายามทวงถามก็จะได้รับคำตอบว่าติดขัดปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นเพียงการกล่าวอ้างเพื่อบ่ายเบี่ยง จนที่สุดตนก็ไม่ได้รับสินค้าอีกเลย โดยสูญเสียเงินไปกว่า 24 ล้านบาท เมื่อเชื่อว่าถูกหลวงลวง ก่อนจะพบว่ามีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ถูกผู้ต้องหากระทำการในลักษณะเดียวกัน จากนั้นจึงพากันเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาดังกล่าว
ขณะที่ นายณัฐพสิษฐ์ ชาญจรูญจิต อายุ 35 ปี ผู้เสียหายอีกราย ระบุว่า ร่วมลงทุนซื้อสินค้าดังกล่าวมาขายต่อประมาณ 1 เดือน โดยรู้จักกับผู้ต้องหาผ่านเพื่อนที่ชักชวนให้ลงทุน เพราะเห็นว่าได้กำไรดี กระทั่งที่สุดจึงพบว่าผู้ต้องหาได้หลอกลวงให้โอนเงินไป ทำให้ได้รับความเสียหายกว่า 3 ล้านบาท ทั้งนี้ ตนอยากให้ตำรวจเร่งรัดดำเนินคดีและให้ผู้ต้องหาจ่ายเงินคืนให้ผู้ที่หลงเชื่อโดยเร็ว เพราะทุกคนเดือดร้อนกันมาก
http://www.naewna.com/local/90964
ไม่มีความคิดเห็น: