Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

03 มิถุนายน 2557 APPLE เริ่มโชว์ความสามารถบางส่วนของ iOS 8 ไล่ตั้งแต่หน้าจอการแจ้งเตือน Notification เพิ่มความสามารถในการตอบโต้ข้อความกลับได้ทันที เช่นเดียวกับในหน้าล็อกสกรีน


ประเด็นหลัก


   และเริ่มโชว์ความสามารถบางส่วนของ iOS 8 ไล่ตั้งแต่หน้าจอการแจ้งเตือน Notification เพิ่มความสามารถในการตอบโต้ข้อความกลับได้ทันที เช่นเดียวกับในหน้าล็อกสกรีน
   
       ในหน้าจอ Recent App (เรียกใช้งานจากการกดปุ่มโฮม 2 ครั้ง) มีการเพิ่มรายชื่อผู้ติดต่อด่วนในส่วนบนของหน้าจอ ให้สามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวกขึ้น
   
       Spotlight จากเดิมที่ใช้ค้นหาข้อมูล เรียกใช้แอปในเครื่อง แต่ความสามารถใหม่ สามารถใช้ค้นหาแอปฯ ร้านอาหาร เพลง ภาพยนตร์
   
       QuickType ระบบเดาคำที่ฉลาดมากขึ้น เช่น กรณีมีคำถามมาว่าจะไปดูหนัง หรือ ทานข้าว ก็จะมีคำขึ้นมาให้เลือกโดยไม่ต้องกดพิมพ์ ที่สำคัญรองรับภาษาไทยด้วย
   
       ภายในระบบข้อความ (Message) เพิ่มความสามารถอย่างการแชร์สถานที่อยู่ (Location) ระบบส่งข้อความเสียง (Tap to Talk) ส่งรูปภาพ และสามารถใช้ส่งภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย
   
       และยังมีการพัฒนา iOS 8 ให้เหมาะกับลูกค้าองค์กรมากขึ้น ทั้งจากระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลต่างๆ

______________________________________

เผยโฉม OS X 'Yosemite' ใหม่ พร้อม iOS 8




       ทยอยเผยโฉมกันแล้วภายในงานประชุมนักพัฒนาประจำปีของแอปเปิล (Apple) อย่าง World Wide Developer Conference (WWDC) ที่คราวนี้เลือกเปิดซอฟต์แวร์ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้ง OSX 10.10 สำหรับสินค้าตระกูล iMac และ Macbook กับ iOS 8 บน iPhone และ iPad
     
       โดยในงาน WWDC 2014 จะเริ่มจาก ทิม คุก ซีอีโอ แอปเปิล ออกมาให้ข้อมูลว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ครบรอบ 25 ปี ของงานประชุมนักพัฒนา โดยมีผู้เข้าร่วมงานจาก 69 ประเทศ และกว่า 70% มาร่วมงานนี้เป็นครั้งแรก ที่สำคัญนักพัฒนาที่มาร่วมงานอายุน้อยที่สุด 13 ขวบ และมีจำนวนนักพัฒนาที่ลงทะเบียนเข้าร่วมงานในปีนี้ถึง 9 ล้านคน เพิ่มขึ้น 47% จากปีที่ผ่านมา
     
       หลังจากนั้นได้ให้ข้อมูลถึงระบบปฏิบัติการ OS X ว่าแม้ช่วงปีที่ผ่านมาตลาดพีซีจะตกลง 5% แต่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้งาน OS X เติบโตขึ้นถึง 12% โดยปัจจุบันมีผู้ลง OS X ใช้งานกว่า 80 ล้านครั้ง ที่สำคัญคือสัดส่วนผู้ใช้อัปเกรดไปใช้งาน OS X เวอร์ชัน Marverick อยู่ที่ 51% เมื่อเทียบกับวินโดวส์ 8 ที่มีผู้อัปเกรดจากระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมมาใช้งานเพียง 14% เท่านั้น
     
       แล้วก็ถึงเวลาแนะนำระบบปฏิบัติการ OSX 10.10 ในชื่อ ‘Yosemite’ (โยเซมิตี) ที่มีการปรับดีไซน์ไอค่อนให้คล้ายคลึงกับใน iOS 7 ที่เน้นความเรียบแบนและใสโดยยังคงสไตล์ Minimalistic เช่นเดิม พร้อมกับมีการเพิ่ม Dark Mode เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลให้เหมาะกับการใช้งานในที่มืด
     
       ในส่วนของ Notification Center ก็มีการอัปเดตให้แสดงผลได้มากขึ้น ทั้งปฏิทิน สภาพอากาศ นาฬิกาปลุก รวมไปถึงการแจ้งเตือนอัปเดตแอปพลิเคชันใหม่ๆ
     
       Spotlight เปลี่ยนอินเตอร์เฟสใหม่ พร้อมเพิ่มแหล่งค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเพิ่มเติมเข้าไป จากเดิมที่ใช้ค้นหาข้อมูลได้จากเฉพาะในตัวเครื่อง
     
       iCloud Drive ที่เป็นพื้นที่เก็บข้อมูล ที่สามารถเปิดดูจากอุปกรณ์ต่างๆที่ลงแอปพลิเคชันดังกล่าว ทั้งแมคบุ๊ก ไอแมค ไอโฟน ไอแพด รวมไปถึงโน้ตบุ๊กที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการวินโดวส์ด้วย
     
       Mail มีการเพิ่มประสิทธิภาพให้ดึงข้อมูลได้รวดเร็วขึ้นทำงานได้รวดเร็วขึ้น รวมถึงเพิ่มบริการ Mail Drop ที่ให้พื้นที่เก็บข้อมูลสูงถึง 5 GB เพื่อที่จะใช้ส่งไฟล์ต่างๆผ่านระบบคลาวด์ได้
     
       Safari ปรับการดีไซน์ให้ง่ายขึ้น พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพให้รองรับมาตรฐานใหม่ๆได้มากขึ้น พร้อมกับช่วยยืดระยะเวลาในการใช้งานเล่นวิดีโอผ่านเว็บเบราว์เซอร์บนแบตเตอรีให้ยาวนานขึ้น
     
       Airdrop สามารถใช้งานระหว่าง OS X และ iOS ได้แล้ว และยังเพิ่ม Hand Off ที่เป็นฟังก์ชันใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาเพื่อเชื่อมต่อการทำงานระหว่าง OS X และ iOS ได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีพิมพ์อีเมลอยู่บนไอโฟน แล้วต้องการย้ายมาพิมพ์ต่อบนแมค ก็สามารถกดที่ไอค่อนเพื่อเรียกหน้าส่งอีเมลมาพิมพ์ต่อบนแมคได้ทันที
     
       ยังมี Instant Hotspot ที่เมื่อมีอุปกรณ์ iOS อยู่ใกล้ๆแมค จะสามารถสั่งให้ตัวเครื่องเปิดแชร์อินเทอร์เน็ตจากในแมคได้ทันที
     
       นอกจากนี้ยังเพิ่มความสามารถระหว่าง ไอโฟน และแมค ด้วยฟีเจอร์การรับส่งข้อความ (SMS/iMessage) รวมไปถึงกรณีที่มีสายเรียกเข้า ก็จะแสดงผลบนแมค และใช้แทนโทรศัพท์ในการสนทนาได้ทันที ซึ่งจะช่วยให้ไม่มีสายที่ไม่ได้รับขณะวางโทรศัพท์ทิ้งไว้อีกต่อไป
     
       ทั้งนี้ Yosemite เปิดให้นักพัฒนาได้ดาวน์โหลดไปใช้งานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วนผู้ใช้งานทั่วไปทางแอปเปิลจะเปิดให้ลงทะเบียนเบต้าเทสผ่านหน้าเว็บไซต์หลังจากนี้
     
       จากนั้น ทิม คุก ออกมาสรุปข้อมูลในส่วนของการจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้งาน ระบบปฏิบัติการ iOS ว่าได้ขายไปแล้วกว่า 800 ล้านเครื่อง แบ่งเป็น iPod Touch 100 ล้านเครื่อง iPad 200 ล้านเครื่อง และ iPhone 500 ล้านเครื่อง โดยเฉพาะปีที่ผ่านมามีลูกค้าเพิ่ม 130 ล้านราย
     
       และเริ่มโชว์ความสามารถบางส่วนของ iOS 8 ไล่ตั้งแต่หน้าจอการแจ้งเตือน Notification เพิ่มความสามารถในการตอบโต้ข้อความกลับได้ทันที เช่นเดียวกับในหน้าล็อกสกรีน
     
       ในหน้าจอ Recent App (เรียกใช้งานจากการกดปุ่มโฮม 2 ครั้ง) มีการเพิ่มรายชื่อผู้ติดต่อด่วนในส่วนบนของหน้าจอ ให้สามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวกขึ้น
     
       Spotlight จากเดิมที่ใช้ค้นหาข้อมูล เรียกใช้แอปในเครื่อง แต่ความสามารถใหม่ สามารถใช้ค้นหาแอปฯ ร้านอาหาร เพลง ภาพยนตร์
     
       QuickType ระบบเดาคำที่ฉลาดมากขึ้น เช่น กรณีมีคำถามมาว่าจะไปดูหนัง หรือ ทานข้าว ก็จะมีคำขึ้นมาให้เลือกโดยไม่ต้องกดพิมพ์ ที่สำคัญรองรับภาษาไทยด้วย
     
       ภายในระบบข้อความ (Message) เพิ่มความสามารถอย่างการแชร์สถานที่อยู่ (Location) ระบบส่งข้อความเสียง (Tap to Talk) ส่งรูปภาพ และสามารถใช้ส่งภาพเคลื่อนไหวได้ด้วย
     
       และยังมีการพัฒนา iOS 8 ให้เหมาะกับลูกค้าองค์กรมากขึ้น ทั้งจากระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูลต่างๆ
     
       Health Kit ภายใต้แอปฯ Health ที่เป็นศูนย์รวมข้อมูลสุขภาพที่น่าสนใจทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันพันธมิตร และที่สำคัญกับโรงพยาบาลที่ร่วม (ในต่างประเทศ) ในการบันทึกข้อมูลคนไข้ อย่างความดัน ชีพจร มาเก็บไว้ภายในแอปฯ
     
       Photo ทำงานร่วมกับ iCloud ในการเก็บภาพทั้งหมดที่ถ่ายจากอุปกรณ์ของคุณ และเรียกใช้งานได้จากทุกอุปกรณ์ ที่สำคัญมีระบบค้นหาจากสถานที่ เวลา และอัลบั้ม และยังมี Smart Editing ในการปรับแต่งรูปเบื้องต้น
     
       โดย iCloud Photo จะให้พื้นที่เก็บภาพฟรี 5 GB แต่ถ้าต้องการเพิ่มสามารถซื้อได้ที่ 20 GB ในราคา 0.99 เหรียญ ต่อเดือน และ 200 GB ในราคา 3.99 เหรียญต่อเดือน
     
       นอกจากนี้ก็ยังมีการนำเสนอโปรแกรมพิเศษสำหรับนักพัฒนา รวมถึงการพัฒนา App Store ให้มีความสามารถมากขึ้น และเปิดโอกาสให้นักพัฒนาได้ทดลองปล่อยให้เพื่อนๆ ดาวน์โหลดแอปฯไปลองใช้งานภายใต้ฟีเจอร์อย่าง Test Flight
     
       ยังมีการเพิ่มวิตเจ็ตในแถบหน้าแจ้งเตือน ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดคีย์บอร์ดเพิ่มเติมจากในสโตร์ได้ ระบบ Touch ID สามารถใช้งานกับแอปฯได้มากขึ้น
     
       ทั้งนี้ iOS 8 Beta เปิดให้ดาวน์โหลดแล้ววันนี้ โดยรุ่นที่รองรับได้แก่ iPhone 4S และ iPad 2 จนถึงรุ่นล่าสุด

http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9570000061766
_________________________________


?แอปเปิล นำเทรนด์ “Internet of things” และ “Connected Living”?
นักวิเคราะห์ฟรอสต์ ระบุงาน WWDC ของแอปเปิล เมื่อคืนนี้่ นำเทรนด์เทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภค เปิดตัวระบบปฏิบัติการไอโอเอส 8 และฟังค์ชั่นใหม่ๆ การเชื่อมต่อรองรับทั้งไลฟ์สไตล์และบ้านอัจฉริยะ

วันอังคาร 3 มิถุนายน 2557 เวลา 12:00 น.
งาน Worldwide Developer Conference (WWDC)ของบริษัทแอปเปิล ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 57 ณเมืองซาน ฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งงานที่ผู้เกี่ยวข้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกรวมทั้งผู้บริโภคให้ความสนใจเป็นอย่างมากทุกปีเพื่อรอดูว่าผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแอปเปิลจะมีเทคโนโลยีใหม่ตัวใดมานำเสนอ

นายธีระ กนกกาญจนรัตน์ นักวิเคราะห์ ICT อาวุโสจาก ฟรอสต์ แอนด์ซัลลิแวน บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาระดับโลก ได้ให้ความเห็นต่อการแถลงในช่วงKey Note speech ของงานในครั้งนี้ว่านอกเหนือจากการเปิดตัวฟังก์ชั่นและฟีเจอร์บนระบบปฏิบัติการใหม่ของแอปเปิลOS X และ iOS แล้วโดยภาพรวมทิศทางหลักในส่วนของเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคยังคงเป็นเรื่องของInternet of Things และเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเชื่อมต่อของไลฟ์สไตล์หรือConnected Living

“นอกเหนือจากการพัฒนาลูกเล่นและความสามารถบนระบบปฏิบัติการใหม่แล้วแอปเปิลได้เปิดตัว HealthKit และ HomeKit สองเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อเทรนด์การเชื่อมต่อของเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์โดย HealthKit จะเป็นศูนย์กลางในการรับและรวบรวมข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ต่างๆเช่นiPhone และอุปกรณ์สวมใส่ที่ช่วยตรวจวัดสภาพการทำงานของร่างกาย เช่นชีพจร คลื่นหัวใจ การใช้งานของร่างกายเข้าด้วยกัน สำหรับ HomeKit จะช่วยเป็นศูนย์ควบคุมและจุดศูนย์กลางสั่งการเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะหรือSmart Home อันรวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย แสงสว่างระบบควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน ซึ่งทางแอปเปิลได้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์และเทคโนโลยีเหล่านี้ร่วมกับกลุ่มบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าและวิศวกรรมจากทั่วโลกเช่น HoneyWell และ Haier” นายธีระกล่าว

“ทั้ง HealthKit และ HomeKit ล้วนเป็นนวัตกรรมต่อยอดจากแนวคิดด้านInternet of Things (IoT) จากแอปเปิลซึ่งหมายถึงการที่อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆเริ่มมีความฉลาดมากขึ้นและถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยอินเทอร์เน็ตในขณะที่ IoT ได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลาย ค่ายผู้ผลิตHardware ต่างพยายามสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนำเสนอระบบของตัวเองเข้าสู่ตลาดแต่ที่ยังขาดหายไปคือเทคโนโลยีที่สร้างการเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าด้วยกันรวมทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อกับมนุษย์ผู้ใช้งาน ถ้าเรามองในภาพรวมแล้วเราจะเห็นว่าสิ่งที่แอปเปิลพยายามสร้างสรรค์นั้นเป็นนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ช่องว่างที่ยังขาดหายไปในส่วนนี้”

“แอปเปิลได้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ต่างๆหรือ Continuity มากเช่นกัน ในระหว่างแถลงการเปิดงานแอปเปิลได้โชว์เทคโนโลยีHandoff ที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆบนแอปเปิลแพล็ตฟอร์มไม่ว่าจะเป็นiPhone iPad รวมทั้งเครื่อง Mac สามารถทำงานเชื่อมกันได้โดยไร้รอยต่อ”

“สิ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของ Proximity Awarenessหรือการที่อุปกรณ์ต่างๆมีความสามารถในการรับรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตำแหน่งของอุปกรณ์และผู้ใช้รวมถึงรูปแบบเนื้อหาการใช้งานว่าในขณะนั้นผู้ใช้กำลังทำงานหรือต้องการสื่อสารแบบใดและสามารถให้ความช่วยเหลือแนะนำผู้ใช้ได้อย่างมีประโยชน์โดยในภาพรวมเราจะเห็นได้ว่าทิศทางการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมสำหรับผู้บริโภคทั่วไปนั้นยังคงเดินไปตามเทรนด์Connected Living หรือการที่เทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆเหล่านี้จะสร้างความเชื่อมโยงให้เกิดขึ้นทั้งในระดับเทคโนโลยีต่อเทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค”

นอกจากนี้แอปเปิลยังเผยว่าจนถึงปัจจุบันได้มีการขายอุปกรณ์ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Ios ไปแล้วมากกว่า800 ล้านเครื่อง เป็น iPod Touch มากกว่า 100 ล้านเครื่อง iPad มากกว่า 200ล้านเครื่อง และเป็นโทรศัพท์ iPhone มากกว่า 500 ล้านเครื่องโดยในช่วงปีที่ผ่านมาแอปเปิลได้ขายอุปกรณ์เหล่านี้ให้กับลูกค้าใหม่มากกว่า130 ล้านราย และแม้ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรม PC จะหดตัวลงถึง 5% ในไตรมาสที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับปีที่แล้วแต่ส่วนแบ่งตลาดของ Macs กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 12%

“การขยายตัวอย่างรวดเร็วของฐานผู้ใช้งานส่งผลให้ในปัจจุบัน AppStore ของแอปเปิลได้รับความนิยมเป็นอย่างมากมีผู้สนใจเข้าร่วมบนแพล็ตฟอร์มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งจากกลุ่มผู้พัฒนาแอพและกลุ่มผู้ใช้งานจนในวันนี้บน App Store มีแอพให้เลือกมากกว่า 1.2 ล้าน แอพด้วยกัน มีการดาวน์โหลดรวมแล้วมากกว่า 75 พันล้านครั้งและ App Store มีผู้เข้าชมมากกว่า 300 ล้านคนต่อหนึ่งสัปดาห์“ ธีระกล่าว

“แอปเปิลยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นแต่ยังเพิ่มความสามารถใหม่ให้กับระบบปฏิบัติการ iOS 8 ที่ช่วยลดข้อได้เปรียบของระบบปฏิบัตการแอนดรอยด์ลงเช่น Extensibility ที่อนุญาตให้แอพต่างๆที่กำลังถูกใช้งานสามารถเชื่อมต่อข้อมูลถึงกันได้บนระบบความปลอดภัยที่รัดกุมของแอปเปิลรวมทั้งเปิดระบบปฏิบัติการให้มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเพิ่มเติมให้มีลูกเล่นมากขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้โดยผู้ใช้มีทางเลือกที่จะเปลี่ยนรูปแบบและหน้าตาของคีย์บอร์ด และเพิ่มเติมwidget ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้งานได้ตามต้องการ และยังเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้นักพัฒนาได้สร้างส่วนต่อเติมมาขายอีกด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมานี้ล้วนเคยเป็นข้อได้เปรียบของแอนดรอยด์ที่มีต่อ iOS การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของแพลตฟอร์มในครั้งนี้เป็นก้าวใหญ่ของแอปเปิลในการแย่งส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้จากแอนดรอยด์“ นายธีระเสริม


http://www.dailynews.co.th/Content/IT/242188/แอปเปิล+นำเทรนด์+“Internet+of+things”+และ+“Connected+Living”

______________________________


ฟรอสต์ฯ เผยงาน WWDC ของแอปเปิล ชี้ว่า 'Internet of things' คือเทรนด์ยุคนี้
โดย ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ 3 มิ.ย. 2557 14:20



ฟรอสต์ฯ เผย การเปิดตัว OS X โยซิมิตี้ และ iOS8 ในงาน WWDC ของแอปเปิลชี้ 'Internet of things' และ 'Connected Living' เป็นเทรนด์เทคโนโลยีการเชื่อมต่อเข้ากับไลฟ์สไตล์ในหมู่ผู้บริโภค เพื่อหวังชิงลูกค้าจากฝั่งแพลตฟอร์มแอนดรอยด์...

จากงาน Worldwide Developer Conference (WWDC) ของบริษัทแอปเปิล ที่จัดไปเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 2 มิ.ย.2557 ณ เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งงานที่ผู้เกี่ยวข้องอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก รวมทั้งผู้บริโภคให้ความสนใจเป็นอย่างมากทุกปี เพื่อรอดูว่าผู้นำด้านนวัตกรรมอย่างแอปเปิลจะมีเทคโนโลยีใหม่ตัวใดมานำเสนอ


ทิม คุก ซีอีโอ แอปเปิล

นายธีระ กนกกาญจนรัตน์ นักวิเคราะห์ ICT อาวุโสจาก ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน กล่าวถึงในช่วง Key Note speech ของทิม คุก ในงานในครั้งนี้ว่า นอกเหนือจากการเปิดตัวฟังก์ชั่นและฟีเจอร์บนระบบปฏิบัติการใหม่ของแอปเปิล OS X และ iOS แล้ว โดยภาพรวมทิศทางหลักในส่วนของเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภค ยังคงเป็นเรื่องของ Internet of Things และเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเชื่อมต่อของไลฟ์สไตล์ หรือ Connected Living นอกเหนือจากการพัฒนาลูกเล่น และความสามารถบนระบบปฏิบัติการใหม่แล้ว

แอพพลิเคชั่น HomeKit

แอพพลิเคชั่น HealthKit

แอปเปิลได้เปิดตัว HealthKit และ HomeKit สองเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อเทรนด์การเชื่อมต่อของเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ โดย HealthKit จะเป็นศูนย์กลางในการรับและรวบรวมข้อมูลสุขภาพจากอุปกรณ์ต่างๆ เช่น iPhone และอุปกรณ์สวมใส่ที่ช่วยตรวจวัดสภาพการทำงานของร่างกาย เช่น ชีพจร คลื่นหัวใจ การใช้งานของร่างกายเข้าด้วยกัน สำหรับ HomeKit จะช่วยเป็นศูนย์ควบคุมและจุดศูนย์กลางสั่งการเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ หรือ Smart Home อันรวมถึงระบบรักษาความปลอดภัย แสงสว่าง ระบบควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน ที่แอปเปิลได้ร่วมพัฒนาอุปกรณ์และเทคโนโลยีเหล่านี้ ร่วมกับกลุ่มบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าและวิศวกรรมจากทั่วโลก เช่น HoneyWell และ Haier

แอพพลิเคชั่น HomeKit ทำให้ผู้ใช้งานควบคุมไฟส่องสว่างในบ้านจากไอโฟน

"ทั้ง HealthKit และ HomeKit ล้วนเป็นนวัตกรรมต่อยอดจากแนวคิดด้าน Internet of Things (IoT) จากแอปเปิล หมายถึงการที่อุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ เริ่มมีความฉลาดมากขึ้น และถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยอินเทอร์เน็ต ในขณะที่ IoT ได้รับการพูดถึงอย่างแพร่หลาย ค่ายผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ ต่างพยายามสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนำเสนอระบบของตัวเองเข้าสู่ตลาด แต่ที่ยังขาดหายไปคือเทคโนโลยีที่สร้างการเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าด้วยกัน รวมทั้งเป็นจุดเชื่อมต่อกับมนุษย์ผู้ใช้งาน ถ้าเรามองในภาพรวมแล้วเราจะเห็นว่า สิ่งที่แอปเปิลพยายามสร้างสรรค์นั้น เป็นนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ช่องว่างที่ยังขาดหายไปในส่วนนี้ แอปเปิลได้ให้ความสำคัญกับการเชื่อมต่อ และทำงานร่วมกันของอุปกรณ์ต่างๆ (Continuity) มากเช่นกัน ในระหว่างแถลงการเปิดงาน แอปเปิลได้โชว์เทคโนโลยี Handoff ที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ บนแอปเปิลแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น iPhone iPad รวมทั้งเครื่อง Mac สามารถทำงานเชื่อมกันได้โดยไร้รอยต่อ" นักวิเคราะห์อาวุโส ของ ฟรอสต์ฯ กล่าว

การเปิดตัว ระบบปฏิบัติการ iOS 8

นายธีระ กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าสนใจคือเรื่องของ Proximity Awareness หรือการที่อุปกรณ์ต่างๆ มีความสามารถในการรับรู้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตำแหน่งของอุปกรณ์และผู้ใช้ รวมถึงรูปแบบเนื้อหาการใช้งานว่าในขณะนั้นผู้ใช้กำลังทำงานหรือต้องการสื่อสารแบบใด และสามารถให้ความช่วยเหลือแนะนำผู้ใช้ได้อย่างมีประโยชน์ โดยในภาพรวมเราจะเห็นได้ว่าทิศทางการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมสำหรับผู้บริโภคทั่วไปนั้นยังคงเดินไปตามเทรนด์ Connected Living หรือการที่เทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้จะสร้างความเชื่อมโยงให้เกิดขึ้น ทั้งในระดับเทคโนโลยีต่อเทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค

งาน WWDC 2014 มีการทดลองการใช้งานจริงให้ดู

นักวิเคราะห์อาวุโส ของ ฟรอสต์ฯ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ แอปเปิลยังเผยว่าจนถึงปัจจุบันได้มีการขายอุปกรณ์ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS ไปแล้วมากกว่า 800 ล้านเครื่อง เป็น iPod Touch มากกว่า 100 ล้านเครื่อง iPad มากกว่า 200 ล้านเครื่อง และเป็นโทรศัพท์ iPhone มากกว่า 500 ล้านเครื่อง โดยในช่วงปีที่ผ่านมาแอปเปิลได้ขายอุปกรณ์เหล่านี้ให้กับลูกค้าใหม่มากกว่า 130 ล้านราย และแม้ว่าการเติบโตของอุตสาหกรรม PC จะหดตัวลงถึง 5% ในไตรมาสที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ส่วนแบ่งตลาดของ Mac กลับขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 12% การขยายตัวอย่างรวดเร็วของฐานผู้ใช้งานส่งผลให้ในปัจจุบัน App Store ของแอปเปิลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีผู้สนใจเข้าร่วมบนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งจากกลุ่มผู้พัฒนาแอพและกลุ่มผู้ใช้งาน จนในวันนี้บน App Store มีแอพให้เลือกมากกว่า 1.2 ล้านแอพด้วยกัน มีการดาวน์โหลดรวมแล้วมากกว่า 75 พันล้านครั้ง และ App Store มีผู้เข้าชมมากกว่า 300 ล้านคนต่อหนึ่งสัปดาห์

การเปิดตัว ระบบปฏิบัติการ OS X Yosemite ทำให้ เครื่องแมคมีประสิทธิภาพมากขึ้น

"แอปเปิลยังไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น แต่ยังเพิ่มความสามารถใหม่ให้กับระบบปฏิบัติการ iOS 8 ที่ช่วยลดข้อได้เปรียบของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ลง เช่น Extensibility ที่อนุญาตให้แอพต่างๆ ที่กำลังถูกใช้งานสามารถเชื่อมต่อข้อมูลถึงกันได้บนระบบความปลอดภัยที่รัดกุมของแอปเปิล รวมทั้งเปิดระบบปฏิบัติการให้มีความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเพิ่มเติมให้มีลูกเล่นมากขึ้นตามความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้มีทางเลือกที่จะเปลี่ยนรูปแบบและหน้าตาของคีย์บอร์ด และเพิ่มเติม widget ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้งานได้ตามต้องการ และยังเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้นักพัฒนา ได้สร้างส่วนต่อเติมมาขายอีกด้วย คุณสมบัติที่กล่าวมานี้ ล้วนเคยเป็นข้อได้เปรียบของแอนดรอยด์ที่มีต่อ iOS การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของแพลตฟอร์มในครั้งนี้เป็นก้าวใหญ่ของแอปเปิล ในการแย่งส่วนแบ่งตลาดผู้ใช้จากแอนดรอยด์" นายธีระ กล่าวทิ้งท้าย.

http://www.thairath.co.th/content/427012

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.