Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

28 กรกฎาคม 2557 CTH ปรับเปลี่ยนเป็น นายวิชัย ทองแตง 30% นางยิ่งลักษณ์ วัชรพล จากทางไทยรัฐ 30% แกรมมี่ 10% และผู้ประกอบการเคเบิลทีวี10% โดยที่เหลืออีก 20% นั้น ในช่วงหลังไตรมาสสามนี้น่าจะสรุปได้ โดยขณะนี้กำลังเจรจาอยู่ 4-5 ราย เน้นเป็นกลุ่มทุนต่างชาติ

ประเด็นหลัก



    “ซีทีเอช มี ฟุตบอลอังกฤษพรีเมียร์ลีก ส่วนทางจีเอ็มเอ็มแซท มีคอนเท้นท์กีฬาครอบคลุมเกือบทุกประเภทกีฬาอีกหลายสิบรายการ เฉพาะฟุตบอลถือว่าครอบคลุมรายการฟุตบอลดังจากทั่วโลกแล้ว เช่น ฟุตบอลยูโร 2016 รอบ Qualifying ในปี2015 และฟุตบอล Euro รอบ 24 ทีมในปี 2016 อาจกล่าวได้ว่า 2 แพลมฟอร์มร่วมกัน ถือเป็น คิงส์ออฟคอนเท้นท์ และคิงออฟฟุตบอลได้ แม้ว่าอีกค่ายจะการันตีว่า เป็น คิง ออฟสปอร์ตก็ตาม”
   
       การดำเนินงานร่วมกันหลังจากนี้ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้แก่ทั้งสองฝ่าย พร้อมทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นในซีทีเอช ปรับเปลี่ยนเป็น นายวิชัย ทองแตง 30% นางยิ่งลักษณ์ วัชรพล จากทางไทยรัฐ 30% แกรมมี่ 10% และผู้ประกอบการเคเบิลทีวี10% โดยที่เหลืออีก 20% นั้น ในช่วงหลังไตรมาสสามนี้น่าจะสรุปได้ โดยขณะนี้กำลังเจรจาอยู่ 4-5 ราย เน้นเป็นกลุ่มทุนต่างชาติ
       ที่มีธุรกิจต่อยอดหรือเอื้อต่อซีทีเอช จากปัจจุบันซีทีเอช เพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นมาเป็น 3,300 กว่าล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท





______________________________




CTH ฮุบ GMM Z หวังเป็น ‘ไฮยีน่า’ ล้ม ‘ช้าง’ ทรูวิชั่นส์อัด 5 พันล.ซื้อคอนเทนต์รับมือ


CTH ฮุบ GMM Z หวังเป็น ‘ไฮยีน่า’ ล้ม ‘ช้าง’ ทรูวิชั่นส์อัด 5 พันล.ซื้อคอนเทนต์รับมือ
นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท ซีทีเอช จำกัด(มหาชน) และนายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด(มหาชนป จับมือหลังลงนามในการรวม CTH เข้ากับ GMMZ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 ที่ผ่านมา



ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ผ่าทางตัน “ซีทีเอช” ผนึกกำลัง “จีเอ็มเอ็ม แซท” สร้างแกร่ง ลดต้นทุน หวังฟื้นธุรกิจเพย์ทีวี หลังเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะซีทีเอช ปีแรกคว้าน้ำ เหลว เหตุพรีเมียร์ลีกปลุกไม่ขึ้น การลงทุนวางระบบเครือข่ายล่าช้า การตลาดคลุมเครือ ก้าวสู่ปีที่สองวางหมากปูเกมส์ลุยศึกเพย์ทีวีใหม่หมด ดึงมือดี “เชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์” นั่งแท่นกุมบังเหียน เบียด “กฤษณัน งามผาติพงศ์” ซึ่งนั่งในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารให้หลุดจากเก้าอี้ออกไปได้ ด้วยกลยุทธ์ “ไฮยีน่า” หวังล้ม “ช้าง” ด้านทรูวิชั่นส์ปรับแผนรุก ชู 4 กลยุทธ์หลัก พร้อมเตรียมอัดงบ 5,000 ล้านบาทซื้อคอนเทนต์ปีหน้า
     
       นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) เปิดเผยข้อมูลว่า จากเดิมที่ซีทีเอชได้เข้ามารุกธุรกิจเพย์ทีวีด้วยการลงทุนเองทั้งหมดนั้น ปีที่ผ่านมาเห็นแล้วว่า กลยุทธ์ที่ใช้ไม่ประสบความสำเร็จ ยอดรายได้ขาดทุน ยอดสมาชิกไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากการติดตั้งล่าช้า บุคลากรไม่เพียงพอ ดังนั้นหลังจากตนเข้ามาบริหารซีทีเอช
       จึงได้รื้อแนวทางการดำเนินธุรกิจใหม่ เน้นการจับมือกับพันธมิตร ภายใต้กลยุทธ์ ไฮยีน่า คือกลยุทธ์การ ไปกันเป็นกลุ่ม เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่จะล้มช้างให้ได้
     
       “ซีทีเอชพร้อมผนึกกับพันธมิตรทุกรูปแบบ เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ซึ่งมองว่าการรวมตัวกันไปกันเป็นกลุ่ม จะเป็นกำลังสำคัญ คล้ายกับฝูงหมาป่าไฮยีน่า ที่รวมกัน สามารถ ล้มช้างได้ การที่ซีทีเอชเลือกใช้กลยุทธ์นี้ แน่นอนว่าการที่เบอร์สองและเบอร์สาม ในธุรกิจเพย์ทีวี นั่นคือ ซีทีเอช และจีเอ็มเอ็ม แซท รวมตัวกัน จะแข็งแกร่งมากพอที่จะแข่งขันกับเบอร์หนึ่ง ซึ่งการสู้กันตรงๆ อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดี การผนึกกำลังแบบป่าล้อมเมือง จึงน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดของซีทีเอชและจีเอ็มเอ็ม แซท”
     
       จากตัวหมากที่วางไว้ ในวันนี้จึงได้เห็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ กับการที่ซีทีเอชและจีเอ็มเอ็ม แซท ผนึกกำลังกัน โดยนายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) และนายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการ บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนจาก 2 บริษัท ทำการลงนามในสัญญาข้อตกลง รวมบริษัท ซีทีเอช แอล ซี โอ จำกัด กับบริษัท จีเอ็มเอ็ม บีจำกัด ดำเนินธุรกิจเพย์ทีวี ซึ่งเป็นบริษัทลูกของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ โดยซีทีเอช แอล ซี โอ จะเข้ามาถือหุ้นใน จีเอ็มเอ็ม บี 100% และแซท เทรดดิ้ง จะเข้ามาถือหุ้นใน ซีทีเอช 10% ส่งผลให้ซีทีเอชจะกลายมาเป็นบริษัทแม่ในการดำเนินธุรกิจเพย์ทีวีของทั้งซีทีเอช แอล ซี โอ และจีเอ็มเอ็ม บี
     
       ผลจากการจับมือกันในครั้งนี้ นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า ซีทีเอชจะเข้ามาดูแลด้านการตลาดในธุรกิจเพย์ทีวีของจีเอ็มเอ็ม แซท ทั้งหมด ส่งผลให้หลังจากนี้ซีทีเอช จะก้าวสู่ความเป็น มีเดีย แอนด์ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ เต็มรูปแบบ ซึ่งทางจีเอ็มเอ็ม แซท ยังคงขายกล่องจีเอ็มเอ็ม แซท ต่อเนื่อง ที่สำคัญจะช่วยลดต้นทุน มีคอนเท้นท์รวมกันมากที่สุด รวมกว่า 150 ช่อง แม้บางช่องรายการจะทับซ้อนกัน แต่ละเลือกระบบสัญญาณจากเพียงรายเดียว เพื่อให้เหลือช่องทรานสปอนเดอร์ที่มีรวมกันกว่า 17ช่องสัญญาณมีเหลือไว้สำหรับคอนเท้นท์อื่นๆ
     
       “ซีทีเอช มี ฟุตบอลอังกฤษพรีเมียร์ลีก ส่วนทางจีเอ็มเอ็มแซท มีคอนเท้นท์กีฬาครอบคลุมเกือบทุกประเภทกีฬาอีกหลายสิบรายการ เฉพาะฟุตบอลถือว่าครอบคลุมรายการฟุตบอลดังจากทั่วโลกแล้ว เช่น ฟุตบอลยูโร 2016 รอบ Qualifying ในปี2015 และฟุตบอล Euro รอบ 24 ทีมในปี 2016 อาจกล่าวได้ว่า 2 แพลมฟอร์มร่วมกัน ถือเป็น คิงส์ออฟคอนเท้นท์ และคิงออฟฟุตบอลได้ แม้ว่าอีกค่ายจะการันตีว่า เป็น คิง ออฟสปอร์ตก็ตาม”
     
       การดำเนินงานร่วมกันหลังจากนี้ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้แก่ทั้งสองฝ่าย พร้อมทำให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นในซีทีเอช ปรับเปลี่ยนเป็น นายวิชัย ทองแตง 30% นางยิ่งลักษณ์ วัชรพล จากทางไทยรัฐ 30% แกรมมี่ 10% และผู้ประกอบการเคเบิลทีวี10% โดยที่เหลืออีก 20% นั้น ในช่วงหลังไตรมาสสามนี้น่าจะสรุปได้ โดยขณะนี้กำลังเจรจาอยู่ 4-5 ราย เน้นเป็นกลุ่มทุนต่างชาติ
       ที่มีธุรกิจต่อยอดหรือเอื้อต่อซีทีเอช จากปัจจุบันซีทีเอช เพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้นมาเป็น 3,300 กว่าล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท
     
       หลังจากนี้จะมีการจับมือกับพันธมิตรอีก 10 ราย ทั้งฟรีทีวี โมบายโฟน และดิสทริบิวเตอร์ ในการนำเสนอคอนเท้นท์ของซีทีเอชให้เข้าถึงผู้ชมให้ได้ 10 ล้านคนดู ส่วนในแง่ของยอดสมาชิกจากการขายกล่องนั้น ปัจจุบันมีฐานสมาชิกอยู่ราว 5แสนถึง 1 ล้านราย ครึ่งปีหลังจะมีการเปิดตัวกล่องรุ่นใหม่ และแพกเกจการรับชมพรีเมียรืลีกออกมาอีก โดยตั้งเป้ายอดสมาชิกใหม่ที่จะเพิ่มเข้ามาอีก 2 ล้านราย หรือสิ้นปีนี้จะต้องมีสมาชิกทั้งหมด 3 ล้านราย พร้อมรายได้ที่กลับมาคุ้มทุนเป็นปีแรก หรือคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 6,000-7,000 ล้านบาทได้
     
       ด้านแกรมมี่ โดยนายกริช ทอมมัส ผู้บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม บี จำกัด กล่าวว่า การรวมกันของซีทีเอช และจีเอ็มเอ็ม บี จะช่วยในเรื่องการบริหารทรัพยากร และใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ต่างๆร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่สำคัญถือเป็นการลดต้นทุนต่างๆได้เป็นอย่างดี สมาชิกจากทั้งสองฝ่าย สามารถดูรายการจากอีกฝ่ายเพิ่มได้ ส่งผลให้แต่ละฝ่ายมีพื้นที่คอนเท้นท์เพิ่มขึ้น
     
       นายฟ้าใหม่ ดำรงชัยธรรม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ หน่วยงานแพลตฟอร์ม บริษัท แซท เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวเสริมว่า ทางบริษัท จะมีการจัดทำแพกเกจออกมาตอบโจทย์ผู้ชมทุกกลุ่ม ในราคาตั้งแต่ 199-999 บาท รวมไปถึงการเพิ่มแพคเกจ Bundle Product จากทาง CTH และ จีเอ็มเอ็ม แซท เพย์ ทีวี อีก 5 แพกเกจ คือ 1.กล่องจีเอ็มเอ็มแซท รุ่น เฮชดี ไลท์ พร้อมแพคเกจ CTHZ Premier League Plus HD 365 วัน
     
       2.กล่อง จีเอ็มเอ็ม แซท รุ่น เฮชดี ไลท์ พร้อมแพคเกจ CTHZ Premier League Plus HD 120 วัน 3.กล่องจีเอ็มเอ็มแซท รุ่น เฮชดีไลท์ พร้อมแพคเกจสำหรับรับชมฟุตบอลพรีเมียร์ลีก BPL 270 วัน 4.กล่องจีเอ็มเอ็มแซท รุ่น เฮชดี ไลท์ พร้อมแพคเกจ Platinum HD 180 วัน และ5.กล่องจีเอ็มเอ็มแซท รุ่น เฮชดี ไลท์ พร้อมแพคเกจ Gold 180 วัน โดยลูกค้าสามารถหาซื้อกล่องเหล่านี้ได้ จากจุดขายร่วม 10,000 จุดทั่วประเทศโดยยอดขายต่อเดือนวางไว้ที่ 1 แสนกล่อง จากปัจจุบันจีเอ็มเอ็ม แซท มีฐานสมาชิกอยู่กว่า 1.5-2 ล้านกล่อง
     
       อย่างไรก็ตามทางฟากทรูวิชั่นส์ ก็รับศึกนี้ทันที นายอรรถพล ณ บางช้าง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายรายการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มีการลงทุนในหลายๆ แพลทฟอร์ม และมีการคาดการณ์กันว่าภายใน 2-3 ปีจะมีการรวมตัวกันของแต่ละผู้ประกอบการเพราะเป็นธุรกิจที่ลงทุนสูงปีแรกแต่ว่ารายได้น้อย สุดท้ายจะหันมาจับมือกัน
     
       ทั้งนี้ ทรูวิชั่นส์ปรับแผนรุกเช่นกัน โดยปรับเปลี่ยนแพกเกจการรับชมให้ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกได้ดียิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้สมาชิกหลุดไปสู่แพลทฟอร์มอื่น โดยชู 4 กลยุทธ์หลักคือ 1.แพกเกจคอนเท้นท์ ต้องครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย 2.ความเสถียรของกล่องรับสัญญาณ 3.คอนเท้นท์ และช่องรายการแบบHD และ 4.บริการหลังการขายรวมถึงระบบคอลเซนเตอร์ พร้อมกับเตรียมเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาทเพื่อซื้อลิขสิทธิ์คอนเท้นต์ต่างๆในปีหน้า
     
       แหล่งข่าววงการเพย์ทีวี ได้วิเคราะห์ว่า การที่ “ซีทีเอช” และ”แกรมมี่” ผนึกกำลังกันครั้งนี้ เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ หลังจากที่เพย์ทีวีบูมมากในช่้วง2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในแง่การลงทุน เกิดการแข่งขันที่รุนแรง แต่รายได้ที่คืนกลับมาไม่ประสบความสำเร็จ การรวมตัวกันจึงเกิดขึ้น พร้อมชูความแข็งแกร่งหรือมุ่งดำเนินธุรกิจตามที่ตัวเองถนัด
     
       เช่นเดียวกับทางซีทีเอช หลังจากที่ลงทุนซื้อพรีเมียร์ลีกด้วยมูลค่าสูงถึง 10,000 กว่าล้านบาท แต่ในปีแรกหรือในปี2556 ตามตัวเลขที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2556 นั้น พบว่ามีรายได้เพียง 730.70 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 4,420.07 ล้านบาท และมีหนี้สินรวมกว่า 12,932.88 ล้านบาท ส่วนทางจีเอ็มเอ็ม บี จากตัวเลขที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2556 พบว่าสถานะการเงินมีรายได้รวม 103.61 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายรวม 1,122.70 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 3,243.24 ล้านบาท
     
       ต่างฝ่ายต่างขาดทุนในธุรกิจเพย์ทีวีด้วยกันทั้งคู่ แผนการรวมตัวกัน ด้วยกลยุทธ์” ไฮยีน่า” จะสามารถล้ม “ช้าง” ได้หรือไม่ หรือจะเป็นแค่ราคาคุยเมื่อหลังพิงฝา ก็ต้องรอพิสูจน์และติดตามชมตอนต่อไป
     

http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9570000084498

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.