Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

28 กรกฎาคม 2557 Temasek ได้ผลตอบแทนเกินคุ้มไปแล้ว สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มชินคอร์ป (บมจ.อินทัช โฮลดิ้ง หรือ INTUCH) ด้วยเม็ดเงินปันผลที่ใกล้เข้าระดับ 1 แสนล้านบาท แค่ช่วง 7 ปีแรกก็เรียกรับไปแล้วกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท

ประเด็นหลัก

       แม้ “เทมาเส็ก” จะใช้เงินเข้าซื้อกิจการทั้งหมด ของกลุ่ม ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ “ชินคอร์ป” จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศเมื่อช่วงปลายปี 2548-2549 ประมาณ 7.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถือครองหุ้นทั้งสิ้น 49.62% แต่หากคิดเฉพาะเม็ดเงินปันผลก้อนงามที่สามารถเรียกคืนกลับไปได้จาก “ชินคอร์ป” ถือว่า“เทมาเส็ก โฮลดิ้ง”ได้ผลตอบแทนเกินคุ้มไปแล้ว สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มชินคอร์ป (บมจ.อินทัช โฮลดิ้ง หรือ INTUCH) ด้วยเม็ดเงินปันผลที่ใกล้เข้าระดับ 1 แสนล้านบาท แค่ช่วง 7 ปีแรกก็เรียกรับไปแล้วกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท และในปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่ 8 ในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หลายฝ่ายคาดว่าน่าจะแตะระดับ 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมผลกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นมามาก แม้จะตัดขายหุ้นออกไปแล้วบางส่วนก็ตาม



______________________________




เทมาเส็กพุงกางโกยปันผลหุ้นชินแสนล้าน



       ตลอด 8 ปีที่ “เทมาเส็ก” ถือหุ้นกลุ่มชินฯ ขนเงินปันผลกลับสิงคโปร์เฉียด 1 แสนล้าน แถมได้กำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าแม้เทมาเส็กจะมีนโยบายลดสัดส่วนการถือหุ้นกลุ่มชินลง แต่คาดว่าไม่มีทางขายทั้งหมด เพราะยังมี“ปันผลก้อนโต” รออยู่ เพราะประมูล 4G โดนเลื่อน
     
       แม้ “เทมาเส็ก” จะใช้เงินเข้าซื้อกิจการทั้งหมด ของกลุ่ม ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ “ชินคอร์ป” จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศเมื่อช่วงปลายปี 2548-2549 ประมาณ 7.9 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถือครองหุ้นทั้งสิ้น 49.62% แต่หากคิดเฉพาะเม็ดเงินปันผลก้อนงามที่สามารถเรียกคืนกลับไปได้จาก “ชินคอร์ป” ถือว่า“เทมาเส็ก โฮลดิ้ง”ได้ผลตอบแทนเกินคุ้มไปแล้ว สำหรับการลงทุนในหุ้นกลุ่มชินคอร์ป (บมจ.อินทัช โฮลดิ้ง หรือ INTUCH) ด้วยเม็ดเงินปันผลที่ใกล้เข้าระดับ 1 แสนล้านบาท แค่ช่วง 7 ปีแรกก็เรียกรับไปแล้วกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท และในปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่ 8 ในการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หลายฝ่ายคาดว่าน่าจะแตะระดับ 9 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมผลกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นมามาก แม้จะตัดขายหุ้นออกไปแล้วบางส่วนก็ตาม
     
       การลงทุนในดีลดังกล่าว ถือเป็นดีลที่ประสบความสำเร็จอย่าง “งดงาม” ของเทมาเส็ก แม้จะมีข่าวออกมาว่า เทมาเส็กไม่ต้องการถือหุ้นในจำนวนมากในธุรกิจที่ข้องเกี่ยวทางการเมือง เพราะอาจได้รับผลกระทบต่างๆกับการลงทุน แต่เชื่อกันว่า ด้วย “ชินคอร์ป”ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ที่ให้ผลประโยชน์สูง จะอย่างไรเสีย “เทมาเส็ก” จะไม่มีการขายหุ้นออกไปจนหมด เพียงแต่ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงเท่านั้น
     
       ที่ผ่านมา ความพยายามของเทมาเส็ก ในการลดสัดส่วนในการถือหุ้นชินคอร์ป เกิดขึ้นมาอย่างเนื่อง เพื่อออกจากความขัดแย้งจากข้อพิพาททางการเมืองที่ส่งผลเสียหายต่อภาพลักษณ์และราคาหุ้นของกลุ่ม ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ของนักลงทุน เพราะรับรู้มาอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการแก้ไขเงื่อนไขของบริษัทให้จ่ายปันผลได้มากกว่า 40% หรือมากกว่ากำไรสุทธิต่อหุ้นที่บริษัทได้รับจนเป็นเรื่องปกติปัจจุบัน เทมาเส็ก ถือุห้นใน INTUCH ผ่าน แอสเพนโฮลดิ้ง 41.62% สำหรับบริษัทลูกๆของ INTUCH “เทมาเส็ก”  ส่ง SingTel เข้ามาถือหุ้นใน บมจ.แอดวานซ์อินโฟเซอร์วิส อีก23.31% และอีก 40.45% ถือผ่าน INTUCH ส่วน บมจ.ไทยคม (THCOM) ใช้ INTUCH เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 41.14% มีเพียง บมจ.ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) ที่ผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นบริษัทในเครือชินคอร์ป รายอื่น นั่นคือ บริษัท ดีทีวี จำกัด 42.07% และมี Singapore Telecommunication ถือหุ้น 14.14% ซึ่งสัดส่วนในปัจจุบันนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่เทมาเส็กจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลงอีกในอนาคต
     
       แต่การลดสัดส่วนการถือหุ้นของเทมาเส็กยังมีเงื่อนไขที่สำคัญ นั่นคือการขายหุ้นที่ถือออกมาในราคาที่ไม่ต่ำกว่าต้นทุนเมื่อครั้งที่ซื้อมาในราคา 49.25 บาท/หุ้นเมื่อปี2549 ซึ่งล่าสุด 25ก.ค.2557 หุ้น INTUCH มีราคาอยู่ที่ 69.00 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาซื้อครั้งแรก 19.75 บาท หรือ 40.10% ทำให้การตัดขายหุ้นออกมาจำนวนมากๆยังมีข้อจำกัด เพราะแม้เทมาเส็กจะได้กำไรจำนวนมากจากการขายหุ้นที่มีส่วนต่างราคาที่สูงจากต้นทุนที่ซื้อไว้ แต่จำนวนหุ้นที่ลดลงไปก็จะมีผลต่อการรับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลที่บรรณาการกลับคืนมาสู่ฐานใหญ่ที่สิงคโปร์จำนวนมหาศาล อีกทั้งทิศทางธุรกิจสื่อสารในไทยโดยเฉพาะเทคโนโลยี 3G และ4G รวมถึงโมบายคอนเทนต์ ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แม้จะใช้เงินลงทุนที่สูง ดังนั้นหากเทมาเส็กตัดสินใจสละหุ้นที่ถือครองอยู่ ก็เท่ากับพลาดโอกาสคว้ากำไรงามที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเช่นกัน
     
       ล่าสุดการลงทุนด้านโทรคมนาคมประเทศ เกิดสะดุดอีกครั้งเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.มีมติให้เลื่อนการประมูลคลื่นความถี่ 1800MHz, 900MHz ออกไปเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเรื่องดังกล่าวกดดันให้ราคาหุ้นในกลุ่มผู้ประกอบการให้บริการเครือข่ายมือถือปรับตัวลดลง รวมถึง ADVANC ซึ่งถือเป็นผู้ครองมาร์เกตแชร์เบอร์ 1 ในประเทศได้รับผลกระทบ
     
       แต่ในวิกฤตกับมีหลายคนคาดว่า เมื่อเม็ดเงินลงทุนที่เตรียมไว้ ไม่ได้ถูกนำมาใช้ตามแผนงานปกติ ก็อาจมีความเป็นไปได้สูงที่ เทมาเส็ก จะเรียกเงินปันผลจากกลุ่มชินคอร์ปมากขึ้นด้วยเช่นกัน
     
       นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต กล่าวถึงกรณีที่ คสช.มีมติให้เลือนการประมูลคลื่นความถี่ 1800MHz, 900MHz ออกไปเป็นระยะเวลา 1 ปี ว่า เป็นเรื่องที่ส่งผลระยะสั้นกับหุ้นกลุ่ม ICT เพราะหากมองในความเป็นจริง การลงทุนก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป ส่วนกรณีการจ่ายเงินปันผลในระดับที่สูงของ บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น DTAC ที่ประกาศเพิ่มสัดส่วนเงินปันผล ถือเป็นเรื่องที่ทำได้หากไม่กระทบต่อ อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share, EPS) ขณะที่ ADVANC คาดว่าจะสามารถจ่ายปันผลทั้งปี 2557 ได้ 12.40 บาท
        “การที่จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกปี ก็น่าจะเกิดจากผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นของบริษัท ส่วนจะสามารถประกาศจ่ายเงินปันผลเพิ่มจากอัตรากำไรปกติได้หรือไม่ ต้องขึ้นกับกฎหลายอย่างที่ทาง ตลท. กำหนดไว้ด้วย โดยเฉพาะ EPS” นายอดิศักดิ์ กล่าว
     
       นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต ระบุว่า หากมองตามความเป็นจริง  ผู้ประกอบการทุกค่าย ยังต้องลงทุนในโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง  รวมถึงมีการปรับปรุง ซ่อมบำรุงโครงข่ายทุกปี  ดังนั้นมองว่าผู้ปรำกอบการจะไม่นำเงินดังกล่าวไปใช้ในกิจการอื่น
     
       อย่างไรก็ตามการเลื่อนประมูล 4G ครั้งนี้ นักวิเคราะห์เชื่อว่า ADVANC มีโอกาสได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุดเนื่องจาก ปี 58 จะถือครองคลื่นน้อยสุดเมื่อเทียบผู้ประกอบการรายอื่น แต่มองว่าหากการประมูลยังเกิดทันในปีหน้าจะไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวอย่างมีนัยยะ ในขณะแนวโน้มผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่กลุ่มผู้ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จะเริ่มเห็นผลบวกจากต้นทุนสัมปทานที่ลดลง
     
       “ADVANC จะมีผลเชิงลบมากกว่ารายอื่น เนื่องจากคลื่น 900 จะหมดอายุในปีหน้าหลังจากโอนย้ายลูกค้าไปยังคลื่น 2.1GHz หมดในปีหน้า อาจทำให้ปริมาณการใช้งานเริ่มที่จะแออัด โดยปัจจุบัน AIS ถือครองคลื่นทั้งหมด 32.5MHz แต่หากไม่รวมคลื่น 900 MHz ที่จะหมดอายุในปีหน้า จะทำให้บริษัทถือครองคลื่นเพียง 15MHz สำหรับ  DTAC มองว่ากระทบน้อยที่สุด เนื่องจากถือครองคลื่นมากสุดราว 75MHz ส่วน TRUE ถือครองคลื่นราว 30MHz อย่างไรก็ตามหากการประมูลคลื่นเกิดขึ้นทันภายในสิ้นปี 58 คาดว่าจะไม่กระทบต่อผลประกอบการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ” นายอดิศักดิ์ กล่าว
     
       น.ส.ธริศา ชัยสุนทรโยธิน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.เคเคเทรด เปิดเผยว่า จากการประกาศระงับประมูลคลื่นความถี่โทรคมนาคมในระยะเวลา 1 ปีนั้น พบว่าราคาหุ้นของบริษัท บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)(ADVANCE) ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากบริษัทเหลือช่องสัญญาณโครงข่าย (Bandwidth) น้อยที่สุด เมื่อไม่สามารถประมูลคลื่นได้ในเร็วๆ นี้ จะทำให้ลูกเล่นทางผลิตภัณฑ์ออกมาได้น้อยกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน อีกทั้งราคาหุ้นก่อนหน้านี้ได้ขึ้นมารอรับข่าวการประมูลคลื่นความถี่ 1,800 เมกะเฮิร์ตซ์มานานแล้ว
     
       ส่วนหุ้นสื่อสารอื่นที่คาดว่าบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC)และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะยังมีห้องสัญญาณโครงข่ายเหลืออยู่มาก อย่างไรก็ตาม ในความเห็นของบริษัท ที่ไม่ครอบคลุมถึงการประมูลคลื่นความถี่ใหม่ยังแนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยมองราคาเหมาะสมของ แอดวานซ์ที่ 210 บาท ดีแทคที่ 110 บาท และทรูที่ 7.20 บาท
     
       “การที่ คสช.ประกาศงดการประมูลคลื่นความถี่แม้ว่าจะไม่กระทบต่อพื้นฐานของหุ้นกลุ่มสื่อสาร แต่จะกระทบจิตวิทยาการลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศที่ถือหุ้นของบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส และ ดีเทค ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้นกลุ่มสื่อสารจะให้ความสำคัญกับการประมูลคลื่น 1,800 เมกะเฮิร์ตซ์มากที่สุด” น.ส.ธริศา กล่าว
     
       สำหรับราคาหุ้นบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ADVANC ปิดตลาดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2557 ที่ 205.00 บาทลดลง 2.00 บาท เปลี่ยนแปลง -0997% ระหว่างเทรดราคาสูงสุดที่ 207.00 บาท ต่ำสุดที่ 202.00 บาท มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 2,032,763 ล้านบาท
     
       ทั้งนี้ ADVANC มีแผนรองรับในการใช้ระบบเทคโนโลยีในการลดความแออัดของการใช้ข้อมูล แต่กรณีเลวร้ายหากการประมูลมีการล่าช้าออกไปมากกว่า 1ปี ถือเป็นความเสี่ยงต่อ ADVANC ในการเสียส่วนแบ่งตลาดให้กับคู่แข่ง
     
       ท้ายสุดนี้ ไม่ว่าADVANC จะได้รับผลกระทบจากการเลื่อนประมูล4G มากน้อยเพียงใด แต่ด้วยฐานลูกค้าที่มีอยู่จำนวนมากในฐานะผู้ครองเจ้าตลาด คงไม่ทำให้ผลดำเนินงานของบริษัทปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จนปรับตัวต่ำลงจากปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากจะเห็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร เห็นพ้องอนุมัติจ่ายปันผลในระดับใกล้เคียงปีก่อนหรือเพิ่มขึ้น เพื่อส่งผลตอบแทนกลับคืนสิงคโปร์ เฉกเช่นเดียวกับ INTUCH ซึ่งต้องยอมรับว่า การเข้าลงทุนในกลุ่มชินคอร์ป ของเทมาเส็ก คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์



http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000085119

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.