Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

13 กุมภาพันธ์ 2558 VMware.ชวพล ระบุ ประเทศไทยนั้นจากการสำรวจพบว่า 91% ของคนไทย นำโมบายล์ดีไวซ์ไปใช้ในการทำงานด้วย ส่วนผลสำรวจของไอดีซียังพบว่า คลาวด์เบสเซอร์วิสในเมืองไทยโต 29% หรือมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท

ประเด็นหลัก


     นายชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน วีเอ็มแวร์ กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนเริ่มมีความพร้อมใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการใช้งานแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่สูงขึ้น อย่างเช่นแอปพลิเคชันที่ช่วยให้พนักงานในองค์กรทำงานแบบเคลื่อนที่ได้ ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องสร้างระบบคลาวด์ ซึ่งในประเทศไทยนั้นจากการสำรวจพบว่า 91% ของคนไทย นำโมบายล์ดีไวซ์ไปใช้ในการทำงานด้วย ส่วนผลสำรวจของไอดีซียังพบว่า คลาวด์เบสเซอร์วิสในเมืองไทยโต 29% หรือมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท
     
       ทั้งนี้ นอกจากไทยแล้วในภูมิภาคอาเซียนยังมีเวียดนามอีกหนึ่งประเทศที่มีความพร้อมทางด้านคลาวด์เช่นกัน โดยการสร้างระบบคลาวด์ของทั้ง 2 ประเทศนี้ส่วนใหญ่จะพัฒนาไปสู่ไฮบริดคลาวด์ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานให้กับพนักงานที่บางครั้งต้องทำงานแบบเคลื่อนที่ และใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการทุกๆ ส่วนขององค์กร หรือที่เรียกว่า Software-defined
     
       ผลสำรวจของไอดีซีพบว่า ภายในปี 2558 มากกว่า 65% ขององค์กรด้านไอทีทั่วโลก จะหันมาใช้งานสถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์ ส่วนในเมืองไทยนั้นคลาวด์แบบนี้กำลังเริ่มต้นโดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ และองค์กรขนาดเล็กที่มองเรื่องการใช้บริการซอฟต์แวร์แบบเช่าใช้ เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้ยังไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์เป็นของตัวเอง ซึ่งวีเอ็มแวร์จะให้บริการอินฟราสตรักเจอร์คลาวด์ เพื่อเอื้อให้เกิดการทำไฮบริดคลาวด์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยจะจับมือกับพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาให้ลูกค้าได้เข้าสู่คลาวด์ในรูปแบบนี้


_____________________________________________________











วีเอ็มแวร์ส่งแพลตฟอร์มใหม่ดันไทยสู่ไฮบริดคลาวด์


        วีเอ็มแวร์เผยอาเซียนเริ่มใช้งานคลาวด์เพิ่มขึ้น หลังมีการใช้แอปพลิเคชันทางธุรกิจและการทำงานแบบเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น ส่วนไทยคาดว่าในปีนี้คลาวด์เบสเซอร์วิสจะเติบโต 29% และมีมูลค่าแตะ 1,000 ล้านบาท เผยพนักงานไทยกว่า 91% นำโมบายล์ดีไวซ์มาใช้ในการทำงาน คาดปีนี้ 68% ขององค์กรด้านไอทีทั่วโลกจะหันมาใช้ไฮบริดคลาวด์ ส่วนเมืองไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น พร้อมส่งแพลตฟอร์มใหม่ One Cloud for Any Application ดันไฮบริดคลาวด์ไทยให้เติบโตเร็วขึ้น
     
       นายชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน วีเอ็มแวร์ กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนเริ่มมีความพร้อมใช้งานเทคโนโลยีคลาวด์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีการใช้งานแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่สูงขึ้น อย่างเช่นแอปพลิเคชันที่ช่วยให้พนักงานในองค์กรทำงานแบบเคลื่อนที่ได้ ทำให้องค์กรต่างๆ ต้องสร้างระบบคลาวด์ ซึ่งในประเทศไทยนั้นจากการสำรวจพบว่า 91% ของคนไทย นำโมบายล์ดีไวซ์ไปใช้ในการทำงานด้วย ส่วนผลสำรวจของไอดีซียังพบว่า คลาวด์เบสเซอร์วิสในเมืองไทยโต 29% หรือมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท
     
       ทั้งนี้ นอกจากไทยแล้วในภูมิภาคอาเซียนยังมีเวียดนามอีกหนึ่งประเทศที่มีความพร้อมทางด้านคลาวด์เช่นกัน โดยการสร้างระบบคลาวด์ของทั้ง 2 ประเทศนี้ส่วนใหญ่จะพัฒนาไปสู่ไฮบริดคลาวด์ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานให้กับพนักงานที่บางครั้งต้องทำงานแบบเคลื่อนที่ และใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการทุกๆ ส่วนขององค์กร หรือที่เรียกว่า Software-defined
     
       ผลสำรวจของไอดีซีพบว่า ภายในปี 2558 มากกว่า 65% ขององค์กรด้านไอทีทั่วโลก จะหันมาใช้งานสถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์ ส่วนในเมืองไทยนั้นคลาวด์แบบนี้กำลังเริ่มต้นโดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ และองค์กรขนาดเล็กที่มองเรื่องการใช้บริการซอฟต์แวร์แบบเช่าใช้ เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้ยังไม่มีดาต้าเซ็นเตอร์เป็นของตัวเอง ซึ่งวีเอ็มแวร์จะให้บริการอินฟราสตรักเจอร์คลาวด์ เพื่อเอื้อให้เกิดการทำไฮบริดคลาวด์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยจะจับมือกับพาร์ทเนอร์ในการพัฒนาให้ลูกค้าได้เข้าสู่คลาวด์ในรูปแบบนี้
     
       “ไอทีโมเดลแบบใหม่เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของธุรกิจ ในยุคโมบาย คลาวด์ โดยไอทีโมเดลแบบใหม่ต้อง ตอบสนองได้แบบออนดีมานด์ (Instant) ไอทีต้องมีความยืดหยุ่นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความคาดหวังของธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาด (Liquid) ไอทีจึงต้องมีความลื่นไหล (Fluid) เพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ที่สำคัญไอทีโมเดลแบบใหม่ต้องมีความปลอดภัย”
     
       นายชวพล กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของวีเอ็มแวร์ในเมืองไทยยังสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ เพราะสามารถตอบโจทย์ของธุรกิจได้อย่างตรงกับกระแสที่เป็นอยู่ ส่วนในภาครัฐที่เงียบไปเมื่อปีที่ผ่านมานั้นน่าจะดีขึ้นในปีนี้ แต่คาดว่าตลาดน่าจะดีได้เท่ากับเมื่อ 3 ปีก่อนก็เพียงพอแล้ว โดยสัดส่วนการทำตลาดของวีเอ็มแวร์กับภาครัฐนั้นในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 20%
     
       สำหรับ กลยุทธ์การทำตลาดนั้นวีเอ็มแวร์จะเน้นซอฟต์แวร์ดีไฟน์ให้เกิดยูนิไฟน์แพลตฟอร์ม โดยจะดึงให้ลูกค้าทำการเวอร์ช่วลไลซ์เน็ตเวิร์กและสตอเรจด้วย เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และต่อยอดซอฟต์แวร์ดีไฟน์สตอเรจ ให้สร้างคลาวด์ที่เป็นไพรเวท ส่วนลูกค้าที่เป็นไพรเวทคลาวด์อยู่แล้ว ก็จะมีโซลูชันวีคลาวด์แอร์ให้ลูกค้าสร้างไฮบริดคลาวด์ได้ด้วยตัวเอง
     
       “เรามีไฮบริดคลาวด์ที่สามารถช่วยให้ลูกค้าจัดการคลาวด์จากหลายๆ ที่ได้ด้วยตัวจัดการคลาวด์เพียงหนึ่งเดียวของวีเอ็มแวร์ ทำให้ลูกค้าสามารถบริหารจัดการทุกอย่างได้ เกิดการสร้างทรัพยากรที่สามารถใช้งานและพัฒนาแอปพลิเคชันผ่านดีไวซ์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันขององค์กรได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้เวอร์ชวลเน็ตเวิร์กของวีเอ็มแวร์ได้รับการออกแบบมาไม่ให้ไว้ใจใครเลย ทำให้มีความปลอดภัยสูง”
     
       นายชวพล กล่าวว่า ล่าสุดวีเอ็มแวร์ได้ทำการเปิดตัวแพลตฟอร์ม 'One Cloud for Any Application' ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มแรกในตลาดที่จะทำให้องค์กรธุรกิจสามารถทำงานแบบปลอดภัยและไร้ข้อจำกัดได้บนทุกแอปพลิเคชันและทุกอุปกรณ์เทคโนโลยี ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถสร้างคลาวด์ภายในองค์กร และเชื่อมต่อการใช้งานร่วมกับคลาวด์สาธารณะ เพื่อสร้างไฮบริด คลาวด์ ที่องค์กรสามารถจัดการได้ภายใต้แพลตฟอร์มเดียวอย่างสมบูรณ์
     
       โดยโซลูชันภายใต้แพลตฟอร์ม One Cloud for Any Application นี้พัฒนามาจากการเทคโนโลยีซอฟต์แวร์-ดีฟายดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้เวอร์ช่วลไลซ์ได้ทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กรไม่ว่าจะเป็น หน่วยประมวลผล เน็ตเวิร์ก หรือสตอเรจ และสามารถทำงานได้ทั้งบนแอปพลิเคชันดั้งเดิม (traditional application) และแอปพลิเคชันที่สร้างบนคลาวด์ (cloud-native application)
     

http://manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9580000017183

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.