Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (DIF) ตัดสินใจลงทุนใน TRUE เพิ่มอีกราว 7 หมื่นลบ. โดยเป็นการลงทุนเสาโทรคมนาคม และโครงข่ายไฟเบอร์

นายสมิทธิ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ ผู้บริหารกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม (DIF) เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหน่วย DIF ได้อนุมัติการเข้าลงทุนในสินทรัพย์ของกลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) จำนวนประมาณ 7 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์ของ DIF อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท ในวันนี้จะมีการลงนามซื้อขายกับกลุ่ม TRUE ในงวดแรกที่จะเข้าลงทุนสินทรัพย์ จำนวนประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท ส่วนงวดที่สอง จำนวนประมาณ 5 หมื่นล้านบาท จะดำเนินการในไตรมาส 2/61 โดยเป็นการลงทุนเสาโทรคมนาคม และโครงข่ายไฟเบอร์ จะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของกองทุน DIF เพิ่มมาเป็น 1.6 แสนล้านบาท "ผู้ถือหน่วยลงมติอนุมัติกว่า 93% ก่อนที่จะเชิญประชุมผู้ถือหน่วย ทางกองทุนเห็นแล้วว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มจะดีกับกองทุนกับผู้ถือหน่วย กองทุนเห็นว่าอายุสัญญาได้ยาวขึ้น มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น และ ได้เงินปันผลเยอะขึ้น" นายสมิทธิ์ กล่าว ทั้งนี้ คาดว่าจากการเข้าลงทุนในงวดแรกภายในเดือน พ.ย.นี้ กองทุน DIF จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอีก 0.03 บาท/หน่วย จากเดิม 0.98 บาท/หน่วย มาเป็น 1.01 บาท/หน่วย และลงทุนงวดที่ 2 คาดจะจ่ายเงินปันผลเพิ่มอีก 0.03 บาท/หน่วย มาเป็น 1.04 บาท/หน่วย ทั้งนี้ คาดว่าอัตราผลตอบแทน(Yield) จะอยู่ประมาณ 6-7% ด้านบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น TRUE ให้ราคาเป้าหมาย 6.70 บาท มีมุมมอง slightly positive sentiment ต่อผู้ถือหน่วย DIF มีมติเข้าลงทุนในสินทรัพย์กลุ่ม TRUE เพิ่มอีกราว 7 หมื่นลบ. ทั้งนี้ คาด TRUE จะมีกำไรทางบัญชีหลังภาษีจากธุรกรรมดังกล่าวราว 3.5 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 1.05 บาท/หุ้น โดยจะทยอยบันทึกใน Q4/60 ราว 6.8 พันล้านบาทและ Q2/61 อีกราว 28.0 หมื่นล้านบาท ผลักดันผลการดำเนินงานปี 60 และปี 61 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิ เป็น 2.7 พันล้านบาทและ 23.8 หมื่นล้านบาทจากปี 16 ที่ขาดทุน 2.8 พันล้านบาท สำหรับผลประโยชน์ที่ TRUE ภายหลังธุรกรรมขายทรัพย์สินเข้ากอง DIF คือ กระแสเงินสดหลังภาษี ได้ไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านบาทหรือคิดเป็น -1.8 บาท/หุ้น ผลักดันฐานะการเงินจะแข็งแกร่งขึ้น โดย Net Debt /EBITDA สิ้นปี 61 จะเหลือ 2.0 เท่าจาก ณ สิ้น Q3/60 ที่ 2.9 เท่า อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวผลการดำเนินงานปกติจะถูกบั่นทอนด้วยค่าเช่าทรัพย์สินส่วนที่ขายไปเฉลี่ยปีละ 5-6,000 ล้านบาท กดดันเราคาดผลการดำเนินงานปกติจะขาดทุนไปอีกอย่างน้อย 5 ปี ด้านผลการดำเนินงานปกติที่เริ่มมีสัญญาณดีขึ้นจากการกินส่วนแบ่งการตลาดอย่างต่อเนื่องในตลาดมือถือและการคุมต้นทุนการดำเนินงานที่ดีขึ้น โดยคาด EBITDA Q4/60 ยังเติบโตต่อทั้ง y-y, q-q อีกทั้ง ยังมีอานิสงส์เชิงบวกจากการอยู่เตรียมขายทรัพย์สินเข้ากองทุน DIF รวมถึง upside gain ก็เพิ่มเป็น 19% ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.