10 กรกฎาคม 2556 (บทความ) "นิวยอร์ก" เล็งเพิ่มโทษกฎหมาย ปราบวัยรุ่นเล่นมือถือ ระหว่างขับรถ // จะถูกยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สำหรับการกระทำผิดครั้งแรก และถูกห้ามขับรถเป็นเวลา 60 วัน หากกระทำผิดซ้ำสอง จะถูกห้ามขับรถ 6 เดือน
ประเด็นหลัก
จากข่าวระบุว่า ภายใต้กฎหมาย ที่ลงนามโดยแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ถูกพบส่งข้อความระหว่างขับรถ จะถูกยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สำหรับการกระทำผิดครั้งแรก และถูกห้ามขับรถเป็นเวลา 60 วัน หากกระทำผิดซ้ำสอง จะถูกห้ามขับรถ 6 เดือน ส่วนผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีอายุ และมีประสบการณ์ หากพบว่ากระทำผิดในลักษณะดังกล่าว จะถูกลงโทษด้วยการตัดแต้มคะแนนใบขับขี่รถยนต์
______________________________________
"นิวยอร์ก" เล็งเพิ่มโทษกฎหมาย ปราบวัยรุ่นเล่นมือถือ ระหว่างขับรถ
คอลัมน์ ทีนเทศ
เมื่อสัปดาห์ก่อน มีรายงานข่าวจากเอเอฟพีว่า มลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้มีการเสนอกฎหมายเพิ่มโทษเอาผิดกับกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบแชต หรือส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถ หลังจากเล็งเห็นถึง ความจำเป็นที่ต้องมีมาตรการออกมาจัดการกับพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายนี้ ซึ่งมีวัยรุ่นทำกันเยอะ
ทั้งนี้ จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารกุมารเวชศาสตร์เมื่อเร็วๆ นี้ พบว่ามีเด็กในวัยเรียนถึง 45% ที่ยอมรับว่าเคยส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถ ขณะที่ในสหรัฐอเมริกามีผู้ขับขี่อายุระหว่าง 18-64 ปี ยอมรับว่าเคยพูดโทรศัพท์ระหว่างขับรถ และ 31% ยอมรับว่าเคยอ่านอีเมล์ หรือส่งข้อความผ่านมือถือ ระหว่างขับรถ
จากข่าวระบุว่า ภายใต้กฎหมาย ที่ลงนามโดยแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ถูกพบส่งข้อความระหว่างขับรถ จะถูกยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สำหรับการกระทำผิดครั้งแรก และถูกห้ามขับรถเป็นเวลา 60 วัน หากกระทำผิดซ้ำสอง จะถูกห้ามขับรถ 6 เดือน ส่วนผู้ขับขี่รถยนต์ที่มีอายุ และมีประสบการณ์ หากพบว่ากระทำผิดในลักษณะดังกล่าว จะถูกลงโทษด้วยการตัดแต้มคะแนนใบขับขี่รถยนต์
"จากสถิติอุบัติเหตุ แสดงให้เห็นว่าการส่งข้อความระหว่างขับรถ เป็นปัญหาเรื้อรังในสังคมเรา โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น และเป็นปัญหาที่ยิ่งนานวันมีแต่จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายถึงตายได้นี้" ผู้ว่าการนครนิวยอร์กกล่าว
ที่มา : นสพ.มติชน
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1373426504
ไม่มีความคิดเห็น: