Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

29 กรกฎาคม 2557 การจับมือ GMMz การแลกหุ้น CTH ส่งผลให้มีฐานสมาชิกรวมกันกว่า 2.5 ล้านครัวเรือน บริษัทเชื่อว่าการรวมตัวกันครั้งนี้จะส่งผลให้มีรายได้โฆษณาเข้ามามากขึ้น

ประเด็นหลัก


"การรวมตัวกันครั้งนี้ส่งผลให้ซีทีเอช และแกรมมี่ มีฐานสมาชิกรวมกันกว่า 2.5 ล้านครัวเรือน บริษัทเชื่อว่าการรวมตัวกันครั้งนี้จะส่งผลให้มีรายได้โฆษณาเข้ามามากขึ้น  อีกทั้งบริษัทได้มีเป้าหมายร่วมกันคือการเปลี่ยนธุรกิจเพย์ทีวี ให้เป็นธุรกิจมีเดียแอนด์เอนเตอร์เทนเมนต์เต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันการร่วมมือครั้งนี้บริษัทมองว่าจะเป็นการเอาจุดแข็งรายการของทั้ง 2 บริษัทรวมกัน  อาทิ คอนเทนต์กีฬาฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และคอนเทนต์บันเทิงเอ็กซ์คูลซีฟ เป็นต้น"


______________________________




เพย์ทีวีแก้เกมรับศึกจอตู้ ผนึกพาร์ตเนอร์ย้ำมีเดีย&เอนเตอร์เทน



- คอลัมน์ : การตลาด MARKETING พิมพ์
 เพย์ทีวีขยับทัพรับศึกจอตู้ "ซีทีเอชเขมือบแกรมมี่" ขยายฐานสมาชิกตั้งเป้า  5 ล้านกล่อง  พร้อมโกยรายได้ทะลุ 7 พันล้านบาท  มั่นใจคอนเทนต์-โครงข่ายแข็งแกร่ง เล็งเดินหน้าหาพาร์ตเนอร์เพิ่ม พร้อมต่อยอดดันบริษัทในเครือเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านทรูวิชั่นส์  ไม่หวั่นงัดกลยุทธ์คอนเทนต์ คุณภาพช่อง แพลตฟอร์ม และบริการหลังการขายสู้  ชี้อนาคตกลุ่มผู้ชมเพย์ทีวีเป็นนิชมากขึ้น
    นายเชิดศักดิ์ กู้เกียรตินันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าหลังจากที่บริษัท ซีทีเอช  แอล ซี โอฯ เข้าถือหุ้นเต็ม 100% ในบริษัท จีเอ็มเอ็ม บี จำกัด และบริษัท แซท เทรดดิ้ง จำกัด จะเข้าถือหุ้น 10% ของบริษัท ซีทีเอชฯ ซึ่งการรวมกันครั้งนี้จะทำให้บริษัท ซีทีเอชฯ เป็นบริษัทแม่ในการดำเนินธุรกิจเพย์ทีวี ของทั้งซีทีเอช แอล ซี โอ และ จีเอ็มเอ็ม บี   ส่งผลให้บริษัทมีฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น และตั้งเป้าหมายที่จะมีลูกค้าในสิ้นปีนี้กว่า 5 ล้านกล่อง  แบ่งเป็น ลูกค้าแกรมมี่ในปัจจุบันที่มีสมาชิกรายเดือนอยู่ประมาณ 3 แสนราย และเป็นลูกค้าที่เติมเงินกว่า 1.5 ล้านราย  ขณะที่ลูกค้าของซีทีเอชในปัจจุบันมีอยู่กว่า 5 แสนกล่อง และเมื่อบริษัทเพิ่มลูกค้าเติมเงินให้มาเป็นสมาชิกรายเดือนมากขึ้น จะส่งผลให้สิ้นปีนี้จะสามารถขายกล่องเพิ่มได้อีก 3 ล้านกล่อง
   alt "การรวมตัวกันครั้งนี้ส่งผลให้ซีทีเอช และแกรมมี่ มีฐานสมาชิกรวมกันกว่า 2.5 ล้านครัวเรือน บริษัทเชื่อว่าการรวมตัวกันครั้งนี้จะส่งผลให้มีรายได้โฆษณาเข้ามามากขึ้น  อีกทั้งบริษัทได้มีเป้าหมายร่วมกันคือการเปลี่ยนธุรกิจเพย์ทีวี ให้เป็นธุรกิจมีเดียแอนด์เอนเตอร์เทนเมนต์เต็มรูปแบบ ขณะเดียวกันการร่วมมือครั้งนี้บริษัทมองว่าจะเป็นการเอาจุดแข็งรายการของทั้ง 2 บริษัทรวมกัน  อาทิ คอนเทนต์กีฬาฟุตบอลพรีเมียร์ลีก และคอนเทนต์บันเทิงเอ็กซ์คูลซีฟ เป็นต้น"
    สำหรับคอนเทนต์ที่จะไม่สามารถหาชมที่อื่นได้นอกจากกล่องแกรมมี่และซีทีเอชหลังจากร่วมมือกันครั้งนี้  คือ Lie to me season1 ,Masterchef US season 5 , Criminal Mind season 7 อื่นๆ  และกีฬาฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่จะเริ่มฤดูกาลใหม่ในเดือนสิงหาคมนี้  อีกทั้งการร่วมมือกันครั้งนี้จะเป็นการลดต้นทุนระยะยาวการซื้อลิขสิทธิ์ต่างประเทศที่ซ้ำซ้อน อาทิ ช่องฟอกซ์ เป็นต้น
    นอกจากนี้ไม่เพียงแค่จะช่วยเสริมคอนเทนต์ให้แข็งแรงแต่ในเรื่องของโครงข่ายจะขยายใหญ่มากขึ้นด้วยเช่นกัน  เนื่องจากในปัจจุบันซีทีเอชใช้ระบบโครงข่ายจากดาวเทียมไทยคม 6 ขณะที่จีเอ็มเอ็มแซทสามารถส่งสัญญาณการออกอากาศได้ครอบคลุมทั้งระบบ KU-Band และ C-Band พร้อมทั้งระบบ Web Base IPTV เพื่อรองรับการรับชมคอนเทนต์ทุกจอ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเลต เป็นต้น  ซึ่งโครงข่ายที่ทั้งสองมีจะช่วยให้การออกอากาศครอบคลุมทั่วประเทศ
    "เชื่อว่าหลังจากร่วมมือกันทำธุรกิจครั้งนี้ จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังดีขึ้น และเติบโตอย่างรวดเร็ว  ซึ่งในสิ้นปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 6-7 พันล้านบาท  หลังจากปีที่แล้วบริษัทมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 4-5 พันล้านบาท และครึ่งปีแรกมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1 พันล้านบาทอีกทั้งบริษัทได้ตั้งเป้าหมายระยะยาวภายใน 2 ปีข้างหน้าจะนำบริษัท จีเอ็มเอ็มบี จำกัดซึ่งเป็นบริษัทลูกของแกรมมี่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากนั้นจะนำบริษัท ซีทีเอช แอล ซี โอฯ เข้าตลาดฯเช่นกัน" นายเชิดศักดิ์ กล่าวและว่า
    การร่วมมือกันครั้งนี้ เหมือนการผนึกกำลังเพื่อล้อมช้างมากกว่าการชนช้าง ดังนั้นกลยุทธ์ของผมหลังจากนี้จะใช้วิธีการหาพาร์ตเนอร์ และการรวมกลุ่มของบริษัทต่างๆมากขึ้น  ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะเห็นการทยอยเปิดตัวร่วมกับพาร์ตเนอร์หลายกลุ่มจำนวนประมาณเกือบ 10 ราย  อาทิ การจับมือร่วมกับพีเอสไอ เป็นต้น"
    ด้านนายอรรถพล  ณ บางช้าง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายรายการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาหลังจากไม่มีคอนเทนต์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกส่งผลให้บริษัทต้องเพิ่มงบและจัดกิจกรรมการตลาดมากขึ้น  จากเดิมบริษัทจะใช้งบคอนเทนต์เฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ประมาณ 3-4 พันล้านบาท  ซึ่งต้องเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 พันล้านบาท  แม้จะมีการใช้งบคอนเทนต์เพิ่มขึ้น  แต่บริษัทก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าสมาชิกอยู่  เนื่องจากบริษัทเชื่อว่ากลยุทธ์คอนเทนต์ที่ดี  คุณภาพการรับชมช่องเอชดีที่มากขึ้น  ช่องทางความสะดวกสบายการรับชม และบริการหลังการขายที่ดี  จะช่วยให้ผู้บริโภคเชื่อใจและไว้ใจ
    "ธุรกิจเพย์ทีวี เป็นช่องทางสื่ออีกหนึ่งรูปแบบที่เข้ามาเติมเต็มช่องโทรทัศน์ฟรีทีวี  เพราะฉะนั้นหากสามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้ชมในเรื่องของรายการได้ ก็จะช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อได้  และในช่วงที่ผ่านมาใช้วิธีทำความเข้าใจลูกค้ามาตลอด   อีกทั้งหลังจากนี้การรับชมสื่อโทรทัศน์รูปแบบเพย์ทีวีจะเปลี่ยนไป ไม่ใช่เจาะกลุ่มเป้าหมายแบบแมส  แต่ต้องเจาะเฉพาะกลุ่มมากขึ้น"
    นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากเกิดทีวีดิจิตอลส่งผลให้ต้นทุนค่าลิขสิทธิ์คอนเทนต์เพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าโดยเฉพาะลิขสิทธิ์คอนเทนต์ต่างประเทศ ในปีนี้   ขณะเดียวกันบริษัทไม่ได้เป็นเพียงแค่ดำเนินธุรกิจเพย์ทีวีเท่านั้น  แต่ยังเป็นธุรกิจฟรีทีวี (ทีวีดิจิตอล)  และบรอดแบนด์ เป็นต้น  ดังนั้นการแข่งขันของคู่แข่งจึงไม่ใช่แค่กลุ่มธุรกิจเพย์ทีวี  แต่เป็นทุกกลุ่มธุรกิจที่บริษัทต้องต่อสู้
    พร้อมทั้งในช่วงปลายปีบริษัทเตรียมพัฒนาช่องในทรูวิชั่นส์ให้เป็นระบบเอชดีเพิ่มอีก 3 ช่อง  โดยวางงบการพัฒนาระบบอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทเชื่อว่าการเพิ่มช่องเอชดีจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สร้างความพึงพอใจให้สมาชิก  ล่าสุดบริษัทได้จับมือสื่อระดับโลก เปิดตัวช่อง RLT CBS Extreme HD เพิ่มอีก 1 ช่อง  พร้อมทั้งปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% หลังจากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเติบโต 20-30%  และมูลค่า 50%   ทั้งนี้ในปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าสมาชิกจำนวน 2 ล้านครัวเรือน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
http://www.thannews.th.com/index.php?option=com_content&view=article&id=240202:-a&catid=106:-marketing&Itemid=456#.U9cPPFZAeuw

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.