Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

25 ตุลาคม 2555 RS เปิดยุทธศาสตร์ 'ช่อง 8' ตลาดทีวีดาวเทียมมีมากก็ไม่กล้า เพราะ ตำแหน่งเป็นแมสทีวี

ประเด็นหลัก

แม้ปัจจุบันคู่แข่งในตลาดทีวีดาวเทียมจะมีมาก แต่บริษัทไม่กังวลเนื่องจากมองว่าคู่แข่งเป็นสภาวะแวดล้อมที่ช่วยผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จเร็วขึ้น อีกทั้งไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบันไม่มีใครดูทีวีทั้งวันช่องเดียว แต่ชอบความหลากหลาย ดังนั้นบริษัทจึงตอบสนองคอนเทนต์ที่หลากหลาย เช่น ละครพีเรียด ละครผี รายการแต๋ววาไรตี้ ฯลฯ เพราะบริษัทต้องการวางตำแหน่งเป็นแมสทีวี

    โดยบริษัทคาดว่าจะช่วยเพิ่มเรตติ้งผู้ชมให้มากขึ้นในอนาคต อีกทั้งจะทำให้ลูกค้าเอเยนซีเข้ามาทุ่มงบโฆษณามากขึ้น แม้ในปัจจุบันช่องฟรีทีวีจะปรับอัตราค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นจนทำให้เหลือส่วนแบ่งในกลุ่มของแซตเทลไลต์น้อยลง  บริษัทจึงต้องการวางแผนกลยุทธ์ที่จะนำส่วนแบ่งที่เหลือมาเก็บไว้ให้ได้มากที่สุด โดยในต้นปีหน้าบริษัทจะปรับค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10% ขณะที่ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 40% แบ่งเป็นช่วงไพรม์ไทม์ราคา 2 หมื่นบาทต่อนาที และซูเปอร์ไพรม์ไทม์ราคา 3-4 หมื่นบาทต่อนาที  โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีหน้าจะเติบโตกว่า 150% และ 5 ปีหน้าจะเติบโตสูงกว่า 500% ขณะที่สิ้นปีนี้บริษัทคาดว่าจะทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% จากรายได้กลุ่มโทรทัศน์ของบริษัทที่มีอยู่ราว  750 ล้านบาท

    นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า เมื่อก้าวเข้าสู่ทีวีดิจิตอล สัดส่วนของผู้รับชมทีวีผ่านเสาก้างปลาจะเหลือน้อยลงหรือหายไป และจะเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มทีวีดาวเทียมมากขึ้นอีกราว 30% จากปัจจุบันผู้ชมรายการโทรทัศน์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 22 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น ผู้ชมทีวีจากเสาก้างปลา 40% จานทีวีดาวเทียม 40%  เคเบิลท้องถิ่น  10%  และทรู วิชั่นส์ 10%








____________________________


อาร์เอสเปิดยุทธศาสตร์ 'ช่อง 8'


เปิด  3 ยุทธศาสตร์ RS ขับเคลื่อนช่อง 8 ขึ้นผู้นำธุรกิจทีวีดาวเทียม  "ปั้นแบรนด์โกอินเตอร์- เพิ่มคอนเทนต์ใหม่- วางช่องเป็นตลาดแมส"  มั่นใจเรียกเรตติ้งดึงเอเยนซีไทยลงทุน

พร้อมวางแผนปรับอัตราค่าโฆษณาเพิ่ม 10% คาด 5 ปีทำรายได้โต  500%

    นายองอาจ สิงห์ลำพอง รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานสถานีโทรทัศน์ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"  ว่า บริษัทกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจเพื่อผลักดันให้ช่อง 8 ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในธุรกิจทีวีดาวเทียมในอนาคต ประกอบไปด้วย การจับมือเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัท ไอซ์ทีวี สิงคโปร์ จำกัด ผู้ผลิตรายการในประเทศสิงคโปร์นำเข้ารายการ "Asia’s Next Top Model"  เรียลลิตีค้นหาสุดยอดนางแบบในแถบเอเชียกว่า 9 ประเทศอาทิ ฟิลิปปินส์ ,สิงคโปร์, เกาหลี, ฮ่องกง, ไต้หวัน, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย และ ไทย ซึ่งโครงการนี้จะส่งผู้เข้าประกวดเป็นตัวแทนประเทศละ 2 คน ออกอากาศพร้อมกัน 9 ประเทศ ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป ซึ่งอนาคตบริษัทมองว่ารายการดังกล่าวจะสามารถสร้างเรตติ้งที่ดี และหากเป็นไปตามแผน ในปีต่อไปบริษัทอาจจะซื้อลิขสิทธิ์รูปแบบแฟรนไชส์รายการนี้เข้ามา รวมทั้งมีแผนนำรายการรูปแบบการแข่งขันประกวดร้องเพลงสู่ระดับสากลจากต่างประเทศเข้ามาเพิ่มด้วย

    "การร่วมกับไอซ์ทีวี ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะนำพาแบรนด์สู่ต่างประเทศ เพราะการถ่ายทอดจะมีการโชว์โลโกให้เห็น ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการสร้างแบรนด์ และเพิ่มมูลค่าให้ช่องสามารถขับเคลื่อนก้าวสู่ฟรีทีวีมากขึ้น  ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ารายการดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีรายได้กว่า 10 ล้านบาท" นายองอาจ กล่าว

    อีกทั้งในปีหน้า 2556 บริษัทมีแผนผลิตละคร และรายการเพิ่มเติม เพื่อสร้างความได้เปรียบในด้านคอนเทนต์ให้กับช่องรายการ ทั้งรายการละคร ที่ถือเป็นคอนเทนต์ที่สร้างเรตติ้งดี  เช่น ทองประกายแสด  ฯลฯ ดังนั้นในครึ่งปีแรกของปีหน้า บริษัทจะลงทุนสูงเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว โดยออกอากาศจากเดิมอาทิตย์ละ 1 เรื่อง เพิ่มเป็น 2 เรื่อง และวางแผนพื้นที่โฆษณายังเท่าเดิม แต่จะปรับอัตราค่าโฆษณาเพิ่ม ซึ่งในช่วงนี้ถือเป็นช่วงเรตราคาในหมวดซูเปอร์ไพรม์ไทม์  นอกจากนี้ยังมีรายการต่างๆเพิ่มเข้ามาให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย  เช่นรายการข่าว เป็นต้น

    แม้ปัจจุบันคู่แข่งในตลาดทีวีดาวเทียมจะมีมาก แต่บริษัทไม่กังวลเนื่องจากมองว่าคู่แข่งเป็นสภาวะแวดล้อมที่ช่วยผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จเร็วขึ้น อีกทั้งไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบันไม่มีใครดูทีวีทั้งวันช่องเดียว แต่ชอบความหลากหลาย ดังนั้นบริษัทจึงตอบสนองคอนเทนต์ที่หลากหลาย เช่น ละครพีเรียด ละครผี รายการแต๋ววาไรตี้ ฯลฯ เพราะบริษัทต้องการวางตำแหน่งเป็นแมสทีวี

    โดยบริษัทคาดว่าจะช่วยเพิ่มเรตติ้งผู้ชมให้มากขึ้นในอนาคต อีกทั้งจะทำให้ลูกค้าเอเยนซีเข้ามาทุ่มงบโฆษณามากขึ้น แม้ในปัจจุบันช่องฟรีทีวีจะปรับอัตราค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นจนทำให้เหลือส่วนแบ่งในกลุ่มของแซตเทลไลต์น้อยลง  บริษัทจึงต้องการวางแผนกลยุทธ์ที่จะนำส่วนแบ่งที่เหลือมาเก็บไว้ให้ได้มากที่สุด โดยในต้นปีหน้าบริษัทจะปรับค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10% ขณะที่ในช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบริษัทได้มีการปรับค่าโฆษณาเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 40% แบ่งเป็นช่วงไพรม์ไทม์ราคา 2 หมื่นบาทต่อนาที และซูเปอร์ไพรม์ไทม์ราคา 3-4 หมื่นบาทต่อนาที  โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ในปีหน้าจะเติบโตกว่า 150% และ 5 ปีหน้าจะเติบโตสูงกว่า 500% ขณะที่สิ้นปีนี้บริษัทคาดว่าจะทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% จากรายได้กลุ่มโทรทัศน์ของบริษัทที่มีอยู่ราว  750 ล้านบาท

    นอกจากนี้บริษัทคาดการณ์ว่าภายใน 2 ปีข้างหน้า เมื่อก้าวเข้าสู่ทีวีดิจิตอล สัดส่วนของผู้รับชมทีวีผ่านเสาก้างปลาจะเหลือน้อยลงหรือหายไป และจะเพิ่มสัดส่วนของกลุ่มทีวีดาวเทียมมากขึ้นอีกราว 30% จากปัจจุบันผู้ชมรายการโทรทัศน์ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 22 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น ผู้ชมทีวีจากเสาก้างปลา 40% จานทีวีดาวเทียม 40%  เคเบิลท้องถิ่น  10%  และทรู วิชั่นส์ 10%

"กรณีที่ กสทช.เข้ามามีบทบาทปรับเปลี่ยนระบบจากทีวีอะนาล็อกเข้าสู่ทีวีดิจิตอล บริษัทไม่ค่อยกังวลเรื่องผลกระทบมากนัก เพราะจากเดิมบริษัทได้วางแผนช่อง 8 ให้เป็นฟรีทีวีพร้อมเจาะกลุ่มตลาดแมสอยู่แล้ว อีกทั้งอนาคตจะมีการนำช่องดังกล่าวเข้าตลาดฟรีทีวีด้วยหากเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอล"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
http://www.thanonline.com/index.php?
option=com_content&view=article&id=150067:--8&catid=106:-
marketing&Itemid=456

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.