Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

21 กรกฎาคม 2557 infinity.สุรินทร์ ระบุ ขณะนี้บริษัทได้รับผลผลกระทบจากกรณีที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย เปิดสงครามราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าย้ายเข้ามาในระบบ 3G

ประเด็นหลัก




    altนายสุรินทร์ อมรชัชวาลกุล กรรมการผู้จัดการ และ ผู้ก่อตั้งบริษัท มีเดีย-อินฟินิตี้ จำกัด เจ้าของแบรนด์โทรศัพท์เคลื่อนที่ "อาม่า" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทได้รับผลผลกระทบจากกรณีที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย ซึ่งประกอบด้วยเอไอเอส หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), ดีแทค หรือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และ กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดสงครามราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าย้ายเข้ามาในระบบ 3 จี คลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กะเฮิรตซ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ "อาม่า" ทำให้ต้องปรับเป้ายอดขายจากเดิมที่ตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 200 ล้านบาท ต้องปรับลดลงไปถึง 50%

    "ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาการทำสงครามราคาส่งผลกระทบต่อแบรนด์เล็ก เราเองก็ต้องเข้าใจเพราะเป็นเรื่องของธุรกิจ เนื่องจากบรรดาค่ายมือถือต้องการให้ลูกค้าเข้ามาอยู่ในระบบ 3 จี"
______________________________




มือถือค่ายเล็กดิ้นหนีตายพ่ายฤทธิ์สงครามราคา



 สงครามมือถือ 3 พี่บิ๊ก สะเทือนมือถือแบรนด์เล็ก "อาม่า" ขยับปรับเป้ายอดขายลง 50%  งัดคัมภีร์ฝ่ากลยุทธ์ ด้วยการโฟกัส  "มือถือ" อย่างเดียว พร้อมเตรียมเปิดตัวรุ่นใหม่อีก 3 รุ่น  ด้าน "ไอ-โมบาย" ปักธง 4 ล้านเครื่อง
    altนายสุรินทร์ อมรชัชวาลกุล กรรมการผู้จัดการ และ ผู้ก่อตั้งบริษัท มีเดีย-อินฟินิตี้ จำกัด เจ้าของแบรนด์โทรศัพท์เคลื่อนที่ "อาม่า" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทได้รับผลผลกระทบจากกรณีที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 ราย ซึ่งประกอบด้วยเอไอเอส หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), ดีแทค หรือ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) และ กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดสงครามราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ในราคาพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าย้ายเข้ามาในระบบ 3 จี คลื่นความถี่ 2.1 กิ๊กะเฮิรตซ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ "อาม่า" ทำให้ต้องปรับเป้ายอดขายจากเดิมที่ตั้งเป้ายอดขายไว้ประมาณ 200 ล้านบาท ต้องปรับลดลงไปถึง 50%

    "ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาการทำสงครามราคาส่งผลกระทบต่อแบรนด์เล็ก เราเองก็ต้องเข้าใจเพราะเป็นเรื่องของธุรกิจ เนื่องจากบรรดาค่ายมือถือต้องการให้ลูกค้าเข้ามาอยู่ในระบบ 3 จี"
    นายสุรินทร์ ยังกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามในขณะนี้บริษัทต้องปรับโครงสร้างธุรกิจ และ กลยุทธ์การตลาด โดยมีการโยกพนักงานบางส่วนไปช่วยบริหารจัดการภายในศูนย์บริการดีแทค เซ็นเตอร์ และ ดีแทค ดีสทิบิวเตอร์ เป็นต้น
    ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังได้มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ใหม่ด้วยการจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อแบรนด์ "อาม่า" เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ส่วนแท็บเลต หรือ ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์เคลื่อนจะยกเลิกการทำตลาดทั้งหมด โดยภายในเร็วๆ นี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ News Supper ARMA จำนวน 1 รุ่น และ หลังจากนั้นจะเปิดอีก 2 รุ่น ซึ่งจะเป็นรุ่น อาม่า 3 จี แต่ในขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดราคาจำหน่ายแต่อย่างใด
    ด้านนายธนานันท์ วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถ ไอ โมบาย จำกัด (มหาชน) หรือ SIM เปิดเผยว่า การทำตลาดในครึ่งปีหลัง SIM ไม่มีการปรับลดเป้าแต่อย่างใด โดยจะเน้นโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่สามารถรับ-ชม ทีวีดิจิตอล เป็นจุดขายซึ่งขณะนี้ได้ออกสินค้าไปแล้วจำนวน 4 รุ่น โดยสิ้นปีนี้จะออกอีกจำนวน 10 รุ่น
    นอกจากนี้แล้วภายในสิ้นปีนี้ SIM จะสามารถจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ถึง 4 ล้านเครื่อง ส่วนกรณีที่ บริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน SIM ส่งผลให้สัดส่วนและผลประกอบการของ บมจ.สามารถเป็นไปในทิศทางที่ดี และ เชื่อว่าผลประกอบการของ SIM ในปีนี้มีกำไรเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=238408:2014-07-10-08-59-24&catid=123:2009-02-08-11-44-33&Itemid=491#.U8z_RFZAeuw

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.