Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

23 กรกฎาคม 2557 ศาลอุทธรณ์ยืน++ แก้วสรร อติโพธิ์ ไม่มีความผิดหมิ่นฯ 'ทักษิณ' กล่าวหา 'ซุกหุ้น' พราะบุคคลที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้

ประเด็นหลัก


       
อีกทั้งคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ยังคงถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้นไว้ ตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย จึงมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์โจทก์ ที่จำเลยตั้งข้อสงสัยว่าโจทก์เลี่ยงภาษีนั้นมีมูลจริง ไม่ใช่การแต่งเรื่องใส่ร้ายโจทก์ แต่เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ซึ่งจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่าโจทก์เลี่ยงภาษีและต่อมาได้มีการยึดทรัพย์โจทก์จริง จำเลยไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งกล่าวหาโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ด้านนายแก้วสรร กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า รู้สึกดีใจที่ศาลพิพากษายืนยันว่าตนไม่มีความผิด เพราะบุคคลที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้  ซึ่งเรื่องข้อเท็จจริงที่ตนได้พูดออกไปขณะจัดรายการจนเป็นเหตุให้ถูกฟ้องในคดีนั้น  ศาลก็ได้หยิบยกคำพิพากษาของศาลฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่ามีการซุกหุ้นจริง คดีนี้จึงเป็นคดีตัวอย่างที่ต่อไปหากมีการทุจริตคอรัปชั่นต่อบ้านเมือง ป.ป.ช.ก็มีสิทธิชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบได้  ยิ่งเป็นคดีสำคัญก็ต้องเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบด้วย


______________________________




ศาลอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง'แก้วสรร'หมิ่นฯ'ทักษิณ'กล่าวหา'ซุกหุ้น'



วันนี้ ( 23 กรกฎาคม) ที่ห้องพิจารณา 808 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อ.2226/2550 ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายศราวุธ นาคะปัท ผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายแก้วสรร อติโพธิ์ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นด้วยการโฆษณา และพระราชบัญญัติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยโจทก์ยื่นฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2550 จำเลยได้จัดรายการ แกะรอยคอรัปชั่น ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยใส่ความโจทก์โดยการโฆษณา ด้วยการกระจายภาพและเสียง ทำนองว่าโจทก์ทำการซุกหุ้นบริษัทชินคอปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นและเกลียดชังจากบุคคลที่ได้ยินและประชาชนทั่วไป เหตุเกิดที่แขวงสนามเป้า เขตพญาไท และแขวง จอมพล เขตจตุจักร กทม.

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 ให้ยกฟ้องจำเลย เนื่องจากเห็นว่าการจัดรายการของจำเลยเป็นการแสดงความเห็นตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง เป็นการแสดงความคิดเห็นและติชมโดยสุจริต ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งใส่ร้ายโจทก์ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท ต่อมาโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมหารือกันแล้วข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีภายหลังจากคณะปฏิวัติฯ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จำเลยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการคตส.ตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครอง และเป็นผู้จัดรายการแกะรอยคอรัปชั่น ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2550 โดยช่วงเวลาเกิดเหตุคือเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2550 จำเลยได้จัดรายการดังกล่าวโดยแสดงความเห็นในทำนองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีทำการซุกหุ้นชินคอร์ปฯ จนวุ่นวาย และจะขายหุ้นให้กับสิงคโปร์ก็หลีกเลี่ยงหนีภาษีอีกมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยแสดงความเห็นโดยสุจริตเป็นธรรมหรือไม่ โจทก์มีพยานเบิกความว่า โจทก์ได้ขายหุ้นให้กับนายพานทองแท้ ชินวัตร ก่อนเป็นนายกรัฐมนตรี การที่จำเลยแสดงความเห็นในทำนองดังกล่าวจึงเป็นการกล่าวเท็จต่อบุคคลที่ 3 ทำให้โจทก์เสียหาย ถูกดูหมิ่น เข้าใจว่าโจทก์ไม่กระทำตามกฎหมาย เห็นว่า ข้อความที่จำเลยกล่าวอยู่ในช่วงที่โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีถือเป็นตำแหน่งที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน จึงเป็นบุคคลสาธารณะย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องปฏิบัติตามที่ได้ปฏิญาณไว้ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตประพฤติตนให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย
       
โดยคดีนี้คตส.มีคำสั่งที่ 19/2549 แต่งตั้งเจ้าหน้าที่พิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งแต่งตั้งให้จำเลยและนายบรรเจิด สิงคเนติ เป็นผู้รับผิดชอบสำนวน ต่อมาจำเลยได้จัดรายการแกะรอยคอรัปชั่น ซึ่งเป็นรายการที่คตส.จัดให้มีขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์และแถลงผลงานให้ประชาชนเข้าใจ เนื่องจากมีข้อเคลือบแคลงสงสัยการทำงานของคตส. ข้อความที่จำเลยพูดดังกล่าวนั้นเป็นการพูดก่อนที่ทางคตส.จะมีมติเรียกให้โจทก์รับทราบข้อกล่าวหา
       
อีกทั้งคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ยังคงถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้นไว้ ตลอดช่วงการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 สมัย จึงมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์โจทก์ ที่จำเลยตั้งข้อสงสัยว่าโจทก์เลี่ยงภาษีนั้นมีมูลจริง ไม่ใช่การแต่งเรื่องใส่ร้ายโจทก์ แต่เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ซึ่งจำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่าโจทก์เลี่ยงภาษีและต่อมาได้มีการยึดทรัพย์โจทก์จริง จำเลยไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งกล่าวหาโจทก์ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ด้านนายแก้วสรร กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า รู้สึกดีใจที่ศาลพิพากษายืนยันว่าตนไม่มีความผิด เพราะบุคคลที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นประชาชนมีสิทธิที่จะตรวจสอบได้  ซึ่งเรื่องข้อเท็จจริงที่ตนได้พูดออกไปขณะจัดรายการจนเป็นเหตุให้ถูกฟ้องในคดีนั้น  ศาลก็ได้หยิบยกคำพิพากษาของศาลฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่ามีการซุกหุ้นจริง คดีนี้จึงเป็นคดีตัวอย่างที่ต่อไปหากมีการทุจริตคอรัปชั่นต่อบ้านเมือง ป.ป.ช.ก็มีสิทธิชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบได้  ยิ่งเป็นคดีสำคัญก็ต้องเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบด้วย


http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=239880&catid=176&Itemid=524#.U89kc1ZAeuw

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.