Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

18 สิงหาคม 2557 Acer.เจสัน ระบุ ผลิตภัณฑ์อย่าง Wearable Device จะนำเสนอต่อตลาดไทยภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ แต่จะขายเป็นคู่กับสมาร์ทโฟน ตอบสนองความต้องการได้อย่างแน่นอน

ประเด็นหลัก



  นายเจสัน กล่าวว่า ปัจจุบัน สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมีการแข่งขันสูงมาก ผู้เล่นมีจำนวนมาก ดังนั้น เอเซอร์จึงต้องเตรียมกลยุทธ์เพื่อการแข่งขัน โดยจะเน้นที่ประสิทธิภาพที่ทรงพลัง และราคา ซึ่งธุรกิจของสมาร์ทโฟนล่าสุดนั้น เอเซอร์ได้ไปจับมือกับสิงเทล จึงเตรียมการขยายไปขายในมาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยจะขายเพิ่มเป็น 25 ประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีขายอยู่ใน 12 ประเทศ ส่วนในประเทศไทยเมื่อดูจากยอดขายสมาร์ทโฟนรวมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ไทยมียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 1
   
       ทางด้านผลิตภัณฑ์อย่าง Wearable Device เอเซอร์พร้อมที่จะนำเสนอต่อตลาดไทยภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ แต่จะขายเป็นคู่กับสมาร์ทโฟน เพราะเอเซอร์มองว่า การจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ Wearable Device นั้น ต้องดูว่าลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เพื่ออะไร ใช้แล้วจะได้อะไร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการทำดาต้าไมนิง (กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล) ต้องมีการเชื่อมต่อที่ดี และต้องมีดาต้าเซ็นเตอร์ ที่พร้อมเชื่อมข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งเอเซอร์มั่นใจว่า จะรองรับได้ เพราะดาต้าเซ็นเตอร์อยู่ที่ไต้หวัน มีประสิทธิภาพมาก ตอบสนองความต้องการได้อย่างแน่นอน
   
       โดยไตรมาส 1 กับ 2 ของไทยที่ผ่านมา มีสถานการณ์ทางการเมือง ดังนั้น ในไตรมาส 3 เมื่อทุกอย่างดีขึ้นจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น และคาดว่า ตลาดโน้ตบุ๊กจะกลับมา เอเซอร์มองว่า จุดแข็งของเอเซอร์อยู่ตรงไหน และจะนำไปใส่ตรงไหน เอเซอร์มีช่องทางการจัดจำหน่ายจำนวนมาก มีพันธมิตรครอบคลุมทั่วประเทศ และมีเซอร์วิสเซ็นเตอร์ ถึง 125 สาขา ซึ่งนอกเหนือไปจากสินค้าแล้ว เอเซอร์ยังจะใช้การบริการเป็นจุดแข็งที่สำคัญอีกด้วย
   

______________________________




เอเซอร์ เล็งไตรมาส 3 พร้อมส่ง Wearable Device ลงตลาด



       “เอเซอร์” เผยอนาคตจะสร้างกำไรกับ บีวายโอซี (Bring Your Own Cloud) ผ่านผลิตภัณฑ์หลัก 5 ประเภท ที่พร้อมจะนำเสนอสู่ตลาด ชูจุดขายสามารถเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ชี้พีซียังคงเติบโตได้ในตลาด แต่ไปอยู่ในอุตสาหกรรมต่างๆ ยังไม่ได้ตายไปไหน เล็งขยายตลาดสมาร์ทโฟนเพิ่มเป็น 25 ประเทศ เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนลูกค้าไทยจะได้เห็น Wearable Device ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ แต่จะขายเป็นคู่กับสมาร์ทโฟน
     
       นายเจสัน เฉิน ประธานและซีอีโอ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวว่า เอเซอร์ตั้งเป้าหมายว่า บีวายโอซี (Bring Your Own Cloud) จะเป็นตัวสร้างกำไรให้ในอนาคต โดยเอเซอร์จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า รวมไปถึงการเชื่อมโยงไปสู่คลาวด์ ตามนโยบายหลักของบริษัทที่ต้องการเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์และทำให้ทุกอย่างเชื่อมต่อกันได้หมด โดยตลาดสำคัญที่จะมุ่งไปคือ ยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เป็นเป้าหมายหลัก
     
       ปัจจุบัน เอเซอร์มี 5 ธุรกิจสำคัญที่จะทำตลาด ประกอบไปด้วย 1.โน้ตบุ๊ก 2.อุปกรณ์ต่อพ่วง 3.แท็บเล็ต และคลาวด์ 4. เซิร์ฟเวอร์สตอเรจ และ 5.สมาร์ทโฟน โดยในส่วนพีซียังคงขายอยู่แม้กำไรจะน้อยมาก แต่ก็ยังคงทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอเซอร์จะใช้ประสบการณ์ทางด้านพีซีที่มีอยู่กว่า 20 ปี นำมาปรับใช้เพื่อสร้างจุดแข็งให้แก่ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ ที่จะนำเสนอสู่ตลาด
     
       “ธุรกิจพีซีมีอยู่มา 37 ปีแล้ว อุตสาหกรรมก็ไม่ได้เติบโตไปมากกว่านี้ และพีซีเองก็ไม่ได้ตายไปจากตลาด แต่จะปรับเปลี่ยนไปตามการใช้งาน โตไปตามความต้องการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ ส่วนโน้ตบุ๊กนั้นแม้จะมองว่า มีสัดส่วนที่ลดลงแต่ไม่ได้หมายความว่า เอเซอร์ทำตลาดผิดพลาด แต่เนื่องจากเอเซอร์มีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ขึ้นมาทดแทน โดยเฉพาะในตลาดเอ็นเตอร์ไพรส์ที่มีมาร์จิ้นดีมาก แม้ยอดขายจะไม่ได้สูง แต่สร้างรายได้และกำไรให้มาก นอกจากนี้ คนเริ่มเปลี่ยนมาใช้สมาร์ทโฟนทำให้ธุรกิจตัวนี้โตขึ้น”
     
       นายเจสัน กล่าวว่า ปัจจุบัน สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ตมีการแข่งขันสูงมาก ผู้เล่นมีจำนวนมาก ดังนั้น เอเซอร์จึงต้องเตรียมกลยุทธ์เพื่อการแข่งขัน โดยจะเน้นที่ประสิทธิภาพที่ทรงพลัง และราคา ซึ่งธุรกิจของสมาร์ทโฟนล่าสุดนั้น เอเซอร์ได้ไปจับมือกับสิงเทล จึงเตรียมการขยายไปขายในมาเลเซีย และสิงคโปร์ โดยจะขายเพิ่มเป็น 25 ประเทศ เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีขายอยู่ใน 12 ประเทศ ส่วนในประเทศไทยเมื่อดูจากยอดขายสมาร์ทโฟนรวมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว ไทยมียอดขายมากที่สุดเป็นอันดับ 1
     
       ทางด้านผลิตภัณฑ์อย่าง Wearable Device เอเซอร์พร้อมที่จะนำเสนอต่อตลาดไทยภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ แต่จะขายเป็นคู่กับสมาร์ทโฟน เพราะเอเซอร์มองว่า การจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ Wearable Device นั้น ต้องดูว่าลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เพื่ออะไร ใช้แล้วจะได้อะไร ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการทำดาต้าไมนิง (กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล) ต้องมีการเชื่อมต่อที่ดี และต้องมีดาต้าเซ็นเตอร์ ที่พร้อมเชื่อมข้อมูลต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งเอเซอร์มั่นใจว่า จะรองรับได้ เพราะดาต้าเซ็นเตอร์อยู่ที่ไต้หวัน มีประสิทธิภาพมาก ตอบสนองความต้องการได้อย่างแน่นอน
     
       โดยไตรมาส 1 กับ 2 ของไทยที่ผ่านมา มีสถานการณ์ทางการเมือง ดังนั้น ในไตรมาส 3 เมื่อทุกอย่างดีขึ้นจะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น และคาดว่า ตลาดโน้ตบุ๊กจะกลับมา เอเซอร์มองว่า จุดแข็งของเอเซอร์อยู่ตรงไหน และจะนำไปใส่ตรงไหน เอเซอร์มีช่องทางการจัดจำหน่ายจำนวนมาก มีพันธมิตรครอบคลุมทั่วประเทศ และมีเซอร์วิสเซ็นเตอร์ ถึง 125 สาขา ซึ่งนอกเหนือไปจากสินค้าแล้ว เอเซอร์ยังจะใช้การบริการเป็นจุดแข็งที่สำคัญอีกด้วย
     
       “ความสำเร็จของเอเซอร์นับจากนี้จะเน้นการสำรวจ เข้าไปดูว่าตรงไหนใช่ ตรงไหนไม่ใช่ การทำธุรกิจจะมีขาขึ้นขาลงตลอดเวลา เราต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จะได้เรียนรู้ว่า เราจะไปปรับปรุงตรงไหน นอกจากนี้ เราจะสร้างความต่างจากคู่แข่ง รวมไปถึงการให้บริการที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับการเข้ามาเยือนเมืองไทยในครั้งนี้ ต้องการเข้ามาดูว่า คนขายของเอเซอร์มีทัศนคติต่อแบรนด์อย่างไร และผู้ใช้มีความรู้สึกอย่างไรต่อเอเซอร์ รวมไปถึงคนในองค์กรเองว่า มีความพร้อมที่จะร่วมกันผลักดันแบรนด์มากน้อยแค่ไหน” นายเจสัน เฉิน กล่าวสรุป
     

http://www.manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9570000092779

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.