28 ธันวาคม 2559 Intouch ได้ชี้แจงผลประกอบการไตมาส 3/2559 มีกำไรสุทธิ 2,662 ล้านบาทลดลง 23% และ 65% จากไตรมาส 3/2558 และ ไตรมาส 2/2559 ตามลำดับ ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2559 ไอทีวีได้ปรับปรุงประมาณการหนี้สิน
ประเด็นหลัก
___________________________________________________________
สิงเทลผงาดอินทัชฯ เปิดเกมรุกตลาดเอเชีย
นอกจากนี้แล้ว อินทัช ได้ชี้แจงผลประกอบการไตมาส 3/2559 มีกำไรสุทธิ 2,662 ล้านบาทลดลง 23% และ 65% จากไตรมาส 3/2558 และ ไตรมาส 2/2559 ตามลำดับ ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2559 ไอทีวีได้ปรับปรุงประมาณการหนี้สิน โดยการกลับรายการประมาณการดอกเบี้ยของสัญญาอนุญาตให้ดำเนินการส่วนต่าง จํานวน 3,691 ล้านบาท (สุทธิจากการแบ่งปันกําไรส่วนที่เป็นของส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม)
อย่างไรก็ตามหากไม่รวมการกลับรายการดังกล่าว กําไรสทิธุรวมสำหรับไตรมาส 3/2559 ลดลงจากไตรมาส 3/2558 และไตรมาส 2/2559 สวนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากธุรกิจ โทรคมนาคมไร้สายภายในประเทศ ซึ่งดำเนินงานโดยกลุ่ม เอไอเอส
เมื่อเปรียบเทียบกับงวด 9 เดือนของปี 2558 กําไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้น 19% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับปรุงประมาณการหนี้สินของ ไอทีวี อย่างไรก็ตามหากไม่รวมการกลับรายการดังกล่าว กําไรสุทธิรวมลดลง 13% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากธุรกิจโทรคมนาคมไร้สายภายในประเทศ
___________________________________________________________
สิงเทลผงาดอินทัชฯ เปิดเกมรุกตลาดเอเชีย
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท อินทัชโอลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท โดยบริษัท แอสเพนโอลดิ้งส์ จำกัด (แอสเพน) และ บริษัท สิงคโปร์เทเลคอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือ (สิงเทล) โดย แอสเพน ได้ขายหุ้นสามัญจำนวน 673,348.264 หุ้น หรือ 21% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วให้แก่ บริษัท สิงเทล โกบอล อินเวสเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ สิงเทล ทำให้ แอสเพน คงเหลือสัดส่วนหุ้น 625,251,960 หุ้น หรือ 19.50% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว (ดูตารางประกอบ)
แม้ แอสเพน ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ สิงเทล รับบทบาทกระจายการลงทุนนอกประเทศ แต่คำถาม? ก็คือว่าการจัดสรรหุ้นให้กับ สิงเทล ต้องมีนัยทางธุรกิจ เพราะคู่แข่ง คือ กลุ่มทรู มีพันธมิตรคือ ไชน่า โมบายล์ อินเตอร์เนชั่นแนลโฮลดิ้งส์ ถือหุ้นอยู่ 18% ซึ่ง ทรูมูฟเอช มีเป้าหมายขึ้นเป็นเบอร์ 1 ตลาดมือถือในประเทศไทย
รุกตลาดเอเชีย
เมื่อพลิกดูการลงทุนของ สิงคโปร์เทเลคอม ปรากฏว่าเป็นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลงทุนไปแล้ว 2,470 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพื่อให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศไทย ,อินเดีย,อินโดนีเซีย ,ฟิลิปปินส์ และ “ออปตัส” ออสเตรเลีย
ก่อนหน้านี้นายชัวซอคคุง หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร สิงเทล กล่าวว่า ประเทศไทย อินเดีย และ แอฟริกา เป็นตลาดที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูงในประเทศไทย มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ขณะที่ อินเดีย เป็นตลาดโทรศัพท์มือถือรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน ในส่วนของจำนวนผู้ใช้บริการ
Advertisement
ไม่กระทบธุรกิจ
นายวิทิต ลีนุตพงษ์ กรรมการ บริษัท อินทัชโฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อธุรกิจ เนื่องจาก แอสเพนโฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทแม่ของ สิงเทล มีแผนลดสัดส่วนผู้ถือหุ้นเพื่อปรับพอร์ตการลงทุน ซึ่ง สิงเทล ก็ยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน เอไอเอส ทั้งนี้การปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อให้การบริหารงานคล่องตัวเพิ่มมากยิ่งขึ้น
สอดคล้องกับนางสาวทมยันตี คงพูลศิลป์ รองกรรมการผู้อำนวยการส่วนงานการลงทุนสัมพันธ์ ของ อินทัช เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ไม่กระทบการดำเนินธุรกิจ เพราะเป็นการทำรายการของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร
ไตรมาส 3 กำไรลด
นอกจากนี้แล้ว อินทัช ได้ชี้แจงผลประกอบการไตมาส 3/2559 มีกำไรสุทธิ 2,662 ล้านบาทลดลง 23% และ 65% จากไตรมาส 3/2558 และ ไตรมาส 2/2559 ตามลำดับ ทั้งนี้ในไตรมาส 2/2559 ไอทีวีได้ปรับปรุงประมาณการหนี้สิน โดยการกลับรายการประมาณการดอกเบี้ยของสัญญาอนุญาตให้ดำเนินการส่วนต่าง จํานวน 3,691 ล้านบาท (สุทธิจากการแบ่งปันกําไรส่วนที่เป็นของส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม)
อย่างไรก็ตามหากไม่รวมการกลับรายการดังกล่าว กําไรสทิธุรวมสำหรับไตรมาส 3/2559 ลดลงจากไตรมาส 3/2558 และไตรมาส 2/2559 สวนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากธุรกิจ โทรคมนาคมไร้สายภายในประเทศ ซึ่งดำเนินงานโดยกลุ่ม เอไอเอส
เมื่อเปรียบเทียบกับงวด 9 เดือนของปี 2558 กําไรสุทธิรวมเพิ่มขึ้น 19% ส่วนใหญ่เป็นผลจากการปรับปรุงประมาณการหนี้สินของ ไอทีวี อย่างไรก็ตามหากไม่รวมการกลับรายการดังกล่าว กําไรสุทธิรวมลดลง 13% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของส่วนแบ่งผลกำไรจากธุรกิจโทรคมนาคมไร้สายภายในประเทศ
ตั้งท่าลดปันผล
นอกจากนี้แล้ว บมจ.อินทัช เตรียมนำเรื่องการพิจารณาปรับนโยบายการจ่ายปันผล จากปัจจุบันที่บริษัทมีการจ่ายปันผล 100% ของกำไรสุทธิ
เหตุผลที่ อินทัช มีนโยบายปรับเงินปันผล เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2560 พร้อมกับพิจารณาแผนการดำเนินงานธุรกิจ
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 2560 คาดว่าจะทำได้สูงกว่าปีนี้ เนื่องจากภาพรวมของธุรกิจโทรคมนาคมในปีหน้าน่าจะสดใสขึ้น โดยเฉพาะผลงานของ เอไอเอส เชื่อว่าจะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ เข้ามา ทำให้มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และมีคลื่นรองรับและครอบคลุมการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งกลุ่มลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ อีกทั้ง บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) มีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีลูกค้าหลักใช้บริการอยู่ 2 ราย คือ ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ซึ่งจะช่วยเข้ามาชดเชยรายได้ที่หายไปจากลูกค้า 1 รายที่ย้ายออกไปในปี 2559 ส่วน บมจ.ซีเอสล็อกซอินโฟ หรือ ซีเอสแอล แจงผลการดำเนินงานยังเติบโต หลังมีลูกค้าใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น
เชื่อว่าการมาคุมธุรกิจของ สิงเทล ครั้งนี้เพื่อบริหารใน เอไอเอส ให้มีความคล่องตัวเพราะตอนนี้คู่แข่งอย่าง ทรูมูฟเอช ที่มีพันธมิตรคือ ไชน่า โมบายล์ อินเตอร์เนชั่นแนลโอลดิ้งส์ เริ่มขยับตัวอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะล่าสุดทั้ง 2 ฝ่ายมีการลงนามกรอบสัญญาความร่วมมือเสริมศักยภาพทางธุรกิจระหว่างกันแล้ว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,212 วันที่ 24 – 26 พฤศจิกายน 2559
http://www.thansettakij.com/2016/11/23/115136
ไม่มีความคิดเห็น: