02 สิงหาคม 2555 (เกาะติดประมูล 3G )((( กสทช. ขู่ ไม่ให้ประมูลคลื่น3G 2100 แน่นอน ))) ถ้าค่ายมือถือไม่แก้ปัญหาวันหมดอายุระบบเติมเงิน
(เกาะติดประมูล 3G )((( กสทช. ขู่ ไม่ให้ประมูลคลื่น3G 2100 แน่นอน ))) ถ้าค่ายมือถือไม่แก้ปัญหาวันหมดอายุระบบเติมเงิน
ประเด็นหลัก
นายประวิทย์กล่าวว่า หากผู้ประกอบการยังไม่แก้ปัญหาเรื่องวันหมดอายุโทรศัพท์ในระบบเติมเงิน อาจส่งผลกระทบต่อการประมูลใบอนุญาต 3 จี บนย่านความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิตรซ์ ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ได้ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองจึงเป็นเหตุอันควรให้ กสทช. สามารถยึดใบอนุญาตและไม่ให้ใช้คลื่นดังกล่าวได้ ทั้งนี้ปัจจุบันมีเลขหมายโทรศัพท์อยู่ในระบบกว่า 80 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทเติมเงินถึง 90% ฉะนั้นหากค่ายมือยังไม่แก้ไขปัญหานี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่ใช้3จีในระบบแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์แบบเติมเงิน 2 ราย ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อให้ เอไอเอส และดีแทค ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 411, 000 บาท และ 423,000 บาท โดยอ้างเหตุผลว่าทั้ง 2 บริษัท ขัดคำสั่งทางปกครอง ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ที่ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง 5 บริษัทปฏิบัติตาม ข้อ 11 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 หากไม่ปฏิบัติตามจะต้องจ่ายค่าปรับทางปกครองในอัตราวันละ 100,000 บาท ซึ่งมีผลตั้งแต่ 30 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา
____________________________________________
กสทช.ขู่ไม่ให้คลื่น3จี ถ้าค่ายมือถือไม่แก้ปัญหาพรีเพด ระบุดีแทค-เอไอเอสถูกฟ้องแล้ว
นาย ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมเผยว่า จากกรณีที่มีผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าของทางเอสไอเอสและดีแทค ฟ้องศาลแพ่งโดยอ้างตามประกาศ กสทช. ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนามแห่งชาติ (กทช.) เกี่ยวกับมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 ข้อ 11 ได้กำหนดว่าการให้บริการโทรคมนาคมแบบชำระค่าบริการล่วงหน้าจะต้องไม่มีการ กำหนดระยะเวลาการใช้บริการยกเว้นได้รับการเห็นชอบจาก กสทช. โดยยังพบผู้ประกอบการละเมิดคำสั่งและยังกำหนดวันหมดอายุของบัตรเติมเงินอยู่ จึงเป็นเรื่องสมควรที่ผู้บริโภคไปฟ้องร้องเพราะเห็นว่าเกิดความไม่เป็นธรรม ส่วนผลการพิจารณาอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
นายประ วิทย์กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการออกคำสั่งทางปกครองแก่ทางค่ายโทรศัพท์ทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส,บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค,บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ที่ไม่ดำเนินการตามประกาศดังกล่าว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการอุทธรณ์ตามกรอบระยะเวลา 60 วันนับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
"ส่วนตัวแล้วเห็นว่าการ ที่ผู้ประกอบการไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเงินที่เติมเข้ามาในโทรศัพท์นั้น ถือเป็นเงินทุนหลักที่ผู้ประกอบการไม่ต้องไปกู้ธนาคารให้เสียดอกเบี้ย เพราะเมื่อคิดวงเงินค่าใช้บริการในระบบเติมเงินนั้นถือว่ามีจำนวนมาก เพราะบัตรเติมเงินมักกำหนดอัตราการเติมประมาณ 10 บาทต่อวัน และเมื่อใช้ไม่หมดก็เกิดการสะสมจำนวนมาก"
นายประวิทย์กล่าวว่า หากผู้ประกอบการยังไม่แก้ปัญหาเรื่องวันหมดอายุโทรศัพท์ในระบบเติมเงิน อาจส่งผลกระทบต่อการประมูลใบอนุญาต 3 จี บนย่านความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิตรซ์ ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ได้ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองจึงเป็นเหตุอันควรให้ กสทช. สามารถยึดใบอนุญาตและไม่ให้ใช้คลื่นดังกล่าวได้ ทั้งนี้ปัจจุบันมีเลขหมายโทรศัพท์อยู่ในระบบกว่า 80 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทเติมเงินถึง 90% ฉะนั้นหากค่ายมือยังไม่แก้ไขปัญหานี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่ใช้3จีในระบบแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์แบบเติมเงิน 2 ราย ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อให้ เอไอเอส และดีแทค ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 411, 000 บาท และ 423,000 บาท โดยอ้างเหตุผลว่าทั้ง 2 บริษัท ขัดคำสั่งทางปกครอง ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ที่ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง 5 บริษัทปฏิบัติตาม ข้อ 11 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 หากไม่ปฏิบัติตามจะต้องจ่ายค่าปรับทางปกครองในอัตราวันละ 100,000 บาท ซึ่งมีผลตั้งแต่ 30 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา
ที่มานสพ.มติชน
ประชาชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1343897359&grpid=03&catid=no&subcatid=0000
ประเด็นหลัก
นายประวิทย์กล่าวว่า หากผู้ประกอบการยังไม่แก้ปัญหาเรื่องวันหมดอายุโทรศัพท์ในระบบเติมเงิน อาจส่งผลกระทบต่อการประมูลใบอนุญาต 3 จี บนย่านความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิตรซ์ ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ได้ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองจึงเป็นเหตุอันควรให้ กสทช. สามารถยึดใบอนุญาตและไม่ให้ใช้คลื่นดังกล่าวได้ ทั้งนี้ปัจจุบันมีเลขหมายโทรศัพท์อยู่ในระบบกว่า 80 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทเติมเงินถึง 90% ฉะนั้นหากค่ายมือยังไม่แก้ไขปัญหานี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่ใช้3จีในระบบแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์แบบเติมเงิน 2 ราย ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อให้ เอไอเอส และดีแทค ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 411, 000 บาท และ 423,000 บาท โดยอ้างเหตุผลว่าทั้ง 2 บริษัท ขัดคำสั่งทางปกครอง ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ที่ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง 5 บริษัทปฏิบัติตาม ข้อ 11 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 หากไม่ปฏิบัติตามจะต้องจ่ายค่าปรับทางปกครองในอัตราวันละ 100,000 บาท ซึ่งมีผลตั้งแต่ 30 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา
____________________________________________
กสทช.ขู่ไม่ให้คลื่น3จี ถ้าค่ายมือถือไม่แก้ปัญหาพรีเพด ระบุดีแทค-เอไอเอสถูกฟ้องแล้ว
นาย ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมเผยว่า จากกรณีที่มีผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าของทางเอสไอเอสและดีแทค ฟ้องศาลแพ่งโดยอ้างตามประกาศ กสทช. ตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนามแห่งชาติ (กทช.) เกี่ยวกับมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 ข้อ 11 ได้กำหนดว่าการให้บริการโทรคมนาคมแบบชำระค่าบริการล่วงหน้าจะต้องไม่มีการ กำหนดระยะเวลาการใช้บริการยกเว้นได้รับการเห็นชอบจาก กสทช. โดยยังพบผู้ประกอบการละเมิดคำสั่งและยังกำหนดวันหมดอายุของบัตรเติมเงินอยู่ จึงเป็นเรื่องสมควรที่ผู้บริโภคไปฟ้องร้องเพราะเห็นว่าเกิดความไม่เป็นธรรม ส่วนผลการพิจารณาอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล
นายประ วิทย์กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการออกคำสั่งทางปกครองแก่ทางค่ายโทรศัพท์ทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส,บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่นจำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค,บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ที่ไม่ดำเนินการตามประกาศดังกล่าว ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการอุทธรณ์ตามกรอบระยะเวลา 60 วันนับตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
"ส่วนตัวแล้วเห็นว่าการ ที่ผู้ประกอบการไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง เพราะเงินที่เติมเข้ามาในโทรศัพท์นั้น ถือเป็นเงินทุนหลักที่ผู้ประกอบการไม่ต้องไปกู้ธนาคารให้เสียดอกเบี้ย เพราะเมื่อคิดวงเงินค่าใช้บริการในระบบเติมเงินนั้นถือว่ามีจำนวนมาก เพราะบัตรเติมเงินมักกำหนดอัตราการเติมประมาณ 10 บาทต่อวัน และเมื่อใช้ไม่หมดก็เกิดการสะสมจำนวนมาก"
นายประวิทย์กล่าวว่า หากผู้ประกอบการยังไม่แก้ปัญหาเรื่องวันหมดอายุโทรศัพท์ในระบบเติมเงิน อาจส่งผลกระทบต่อการประมูลใบอนุญาต 3 จี บนย่านความถี่ 2.1 กิ๊กกะเฮิตรซ์ ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้ได้ เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทางปกครองจึงเป็นเหตุอันควรให้ กสทช. สามารถยึดใบอนุญาตและไม่ให้ใช้คลื่นดังกล่าวได้ ทั้งนี้ปัจจุบันมีเลขหมายโทรศัพท์อยู่ในระบบกว่า 80 ล้านเลขหมาย ซึ่งเป็นลูกค้าประเภทเติมเงินถึง 90% ฉะนั้นหากค่ายมือยังไม่แก้ไขปัญหานี้ ก็จะส่งผลกระทบต่อลูกค้าที่ใช้3จีในระบบแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้ใช้บริการโทรศัพท์แบบเติมเงิน 2 ราย ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อให้ เอไอเอส และดีแทค ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 411, 000 บาท และ 423,000 บาท โดยอ้างเหตุผลว่าทั้ง 2 บริษัท ขัดคำสั่งทางปกครอง ของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม ที่ให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง 5 บริษัทปฏิบัติตาม ข้อ 11 ของประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเรื่อง มาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม พ.ศ.2549 หากไม่ปฏิบัติตามจะต้องจ่ายค่าปรับทางปกครองในอัตราวันละ 100,000 บาท ซึ่งมีผลตั้งแต่ 30 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา
ที่มานสพ.มติชน
ประชาชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1343897359&grpid=03&catid=no&subcatid=0000
ไม่มีความคิดเห็น: