Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

18 เมษายน 2555 กสทช. ยืมมือ ICT ลงดาบไทยคม ลังปล่อยให้มีโฆษณาที่เป็นอันตราย และเกินจริงต่อผู้บริโภค ก่อนบุกไทยคม 30 เม.ย.

กสทช. ยืมมือ ICT ลงดาบไทยคม ลังปล่อยให้มีโฆษณาที่เป็นอันตราย และเกินจริงต่อผู้บริโภค ก่อนบุกไทยคม 30 เม.ย.


ประเด็นหลัก


ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งที่ กสทช.จำเป็นต้องเข้าไปขอความร่วมมือกับทางกระทรวงไอซีทีเนื่องจากกระทรวงไอ ซีทีถือเป็นผู้ให้สัมปทานโดยตรงกับไทยคมอยู่ จึงมีอำนาจในการแจ้งเตือน หรือสั่งให้หาแนวทาง และทางออกกับไทยคมได้

ส่วนในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ที่ทางกสทช.จะเข้าไปที่ไทยคมนั้นถือเป็นการเข้าพบเพื่อหาทางออก หรือมาตรการชั่วคราวของปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งจะขอรายชื่อผู้ที่ออกอากาศทั้งหมดด้วย

“คาดว่าใบอนุญาตจะสามารถบังคับใช้ และประกาศอย่างเป็นทางการได้ไม่เกินไตรมาส 3 ปีนี้แน่นอน ซึ่งในตอนนี้มีเคเบิ้ลทีวีกว่า 1,042 ช่องที่รอใบอนุญาตฯ ซึ่งยังไม่รวมทีวีดาวเทียมของไทยคมอีกประมาณ 400 ช่อง”
_________________________________________________________

กสทช. ยืมมือ ไอซีที ลงดาบไทยคม


กสทช.เตรียมเข้าพบปลัดก.ไอซีที พรุ่งนี้(19 เม.ย.) หวังให้ช่วยในฐานะผู้ให้สัมปทานกับไทยคม หลังปล่อยให้มีโฆษณาที่เป็นอันตราย และเกินจริงต่อผู้บริโภค ก่อนบุกไทยคม 30 เม.ย. หาทางออกปัญหาดังกล่าว ส่วนการออกใบอนุญาตคาดไม่เกินไตรมาส 3 ปีนี้

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียง เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้ (19 เม.ย.) เวลา 13.30น. ตัวแทนจากคณะอนุฯ และกสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคฯ จะเข้าพบหารือกับนางจีราวรรณ บุญเพิ่ม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อให้เข้าไปดำเนินการตักเตือนขอความร่วมมือ และหาแนวทางแก้ไขกับบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ในการปล่อยให้ช่องรายการต่างๆนำเสนอโฆษณาอาหาร และยาที่เกินความเป็นจริง ก่อนจะเดินทางไปพบบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 30 เม.ย. เวลา 13.00 น. เพื่อดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนต่อไป

เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางกสทช.เคยได้เรียกทางไทยคมเข้าพบเพื่อหาแนวทางแก้ไข ในปัญหาดังกล่าวมาแล้ว 2 ครั้งแต่ไม่เป็นผล โดยยังคงปล่อยให้มีโฆษณาที่เกินจริงบนทีวีดาวเทียมไทยคมอยู่ ทั้งนี้กสทช.เองไม่มีอำนาจสั่งการ หรือให้ดำเนินโดยตรง เป็นเพียงแค่ขอความร่วมมือกับไทยคมเท่านั้นในตอนนี้ ซึ่งต้องรอให้มีการบังคับใช้ใบอนุญาตฯก่อน

ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งที่กสทช.จำเป็นต้องเข้าไปขอความร่วมมือกับทางกระทรวงไอซี ทีเนื่องจากกระทรวงไอซีทีถือเป็นผู้ให้สัมปทานโดยตรงกับไทยคมอยู่ จึงมีอำนาจในการแจ้งเตือน หรือสั่งให้หาแนวทาง และทางออกกับไทยคมได้

ส่วนในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ที่ทางกสทช.จะเข้าไปที่ไทยคมนั้นถือเป็นการเข้าพบเพื่อหาทางออก หรือมาตรการชั่วคราวของปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งจะขอรายชื่อผู้ที่ออกอากาศทั้งหมดด้วย

“คาดว่าใบอนุญาตจะสามารถบังคับใช้ และประกาศอย่างเป็นทางการได้ไม่เกินไตรมาส 3 ปีนี้แน่นอน ซึ่งในตอนนี้มีเคเบิ้ลทีวีกว่า 1,042 ช่องที่รอใบอนุญาตฯ ซึ่งยังไม่รวมทีวีดาวเทียมของไทยคมอีกประมาณ 400 ช่อง”

นอกจากนี้ทางกสทช.ยังได้เตรียมการนำเรื่องปัญหาดังกล่าวเข้าเสนอต่อคณะ กรรมการ (บอร์ด)กสทช. ทั้งบอร์ด กสท.และบอร์ด กทค. เพื่อออกมาตราการชั่วคราวในการหาแนวทางกำกับดูแลผู้ประกอบการดาวเทียม ในรูปแบบการบันทึกความผิดหรือแบล็กลิสต์เพื่อให้ส่งผลต่อการขอใบอนุญาตต่อไป ก่อนที่ในไตรมาส 2 จะออกเป็นร่างหลักเกณฑ์ และคาดว่าจะออกใบอนุญาตประกอบกิจการช่องรายการทีวีดาวเทียม ฯลฯ อย่างเป็นทางการ และมีผลบังคบใช้ภายในไตรมาสที่ 3 ต่อไป เพื่อเป็นมาตราฐานในการดำเนินการของทีวีดาวเทียม และเคเบิลทีวี เพื่อให้เป็นการควบคุมมาตราฐานแบบเดียวกันทั้งหมด

น.ส.สุภิญญา กล่าวต่อว่า ตนเอง พร้อมนายประเสริฐ อภิปุญญารองเลขาธิการ กสทช. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีแนวทางที่จะทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกัน หรือ MOU ในการกำกับดูแลการโฆษณา และเผยแพร่ออกอากาศของผลิตภัณฑ์ที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่าง ร้ายแรง

โดยในตอนนี้อยู่ระหว่างปรับแก้ไขรายละเอียดในบ้างประเด็นของ MOU ดังกล่าวเท่านั้นก่อนจะเสนอเพื่อให้บอร์ดกสทช.พิจารณาต่อไปซึ่งคาดว่าภายใน เดือนเม.ย.นี้จะแล้วเสร็จ

อนึ่ง การโฆษณาและเผยแพร่ออกอากาศรายการที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต้องเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เป็นต้น ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าว หากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าว คือ อย. และ สคบ. ได้ชี้แล้วว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย สถานีต่างๆ ก็ไม่สามารถออกอากาศได้ เพราะอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ขัดต่อพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจาย เสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 37

ASTV ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9550000048396

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.