26 ตุลาคม 2555 Windows 8 THAI ลุย 200 ล้าน ขายกล่องเริ่มต้น 2500 ถึง 5690 บาท // เอเซอร์ หวังวินโดว์ส8ปลุกโน้ตบุ๊กคึกเหตุไทยขโลกป่วย
ประเด็นหลัก
โดยในการเปิดตัววินโดวส์ 8 ครั้งนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ใช้มีการคาดการณ์งบประมาณในการโปรโมทมากกว่า 200 ล้านบาท และถือเป็นแคมเปญครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งจะมีการออกอากาศโฆษณาบนโทรทัศน์ต่อเนื่อง 22 สัปดาห์ รวมกับการใช้สื่อทั่วไปอย่างวิทยุ ป้ายโฆษณา เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้งานวินโดวส์ 8
"กลุ่มฐานลูกค้าที่สำคัญของไมโครซอฟท์ในครั้งนี้คือกลุ่มลูกค้าเดิมที่ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมทั้งในรุ่น เอ็กซ์พี วิสต้า และ 7 ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของพีซี โน้ตบุ๊ก ออลอินวัน และแท็บเล็ตที่ใช้งานในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น 5-6 ล้านเครื่องต่อปี"
สำหรับการวางจำหน่ายวินโดวส์ 8 ในประเทศไทย จะมีวางจำหน่ายในรูปแบบกล่อง ในราคา 1,990 บาท สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมที่ต้องการอัปเกรด และราว 2,500 บาท ในรุ่นปกติ และ 5,690 บาทในรุ่นโปร ซึ่งมีโปรโมชันลดเหลือ 5,290 บาทจนถึงวันที่ 5 พ.ย. ตามร้านค้าปลีกที่ร่วมรายการ ส่วนในรุ่น Windows RT จะมาพร้อมกับแท็บเล็ตในรุ่นที่ใช้หน่วยประมวลผล ARM
ขณะเดียวกันผู้ที่เพิ่งซื้อพีซี หรือโน้ตบุ๊กหลังวันที่ 2 มิถุนายน 2555 จะได้รับราคาพิเศษในการอัปเกรดขึ้นเป็นวินโดวส์ 8 ในราคา 14,99 เหรียญสหรัฐ (ราว 499 บาท) หรือถ้าไม่ต้องการซื้อรุ่นอัปเกรดสำหรับลูกค้าที่ซื้อก่อนหน้าก็สามารถสั่งซื้อเพื่อดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ได้ในราคา 39.99 เหรียญ (ราว 1,250 บาท)
นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2555 คาดว่ายอดขายเอเซอร์จะใกล้เคียงปี 2554 หรือเติบโตเพียง 5% ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกับภาพ รวมของตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไม่เฉพาะในไทย แต่เป็นทิศทางเดียวกับตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นผลจากการชะลอตัวของยอดขาย
ขณะเดียวกันจากการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้บริษัทได้วางกลยุทธ์การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า โดยปีนี้บริษัทได้ลงทุน 50 ล้านบาท สร้างศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์บริการซ่อมเนื้อที่ 5,000 ตร.ม. บนถนนพระราม 3 สำหรับรองรับบริการรับซ่อมจากศูนย์บริการทั้งในกรุงเทพฯ รวม 6 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 9 แห่ง รวมถึงรับผิดชอบตลาด อินโดจีน 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ภายใต้นโยบายรับ-ส่งสินค้าจากตัวแทนทั่วประเทศ และ ส่งกลับภายใน 2 วันทำการ โดยวางเป้าหมายภายใน 3 ปี รายได้จากศูนย์บริการจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 5% ของรายได้รวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5%
____________________________________
ไมโครซอฟท์ทุ่มหนัก 200 ล้าน ชู 'วินโดวส์ 8 เปลี่ยนยุค'
ไมโครซอฟท์ จัดหนักแคมเปญ 'วินโดวส์ 8' ระบุใช้งบมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ผ่านโฆษณาโทรทัศน์ 22 สัปดาห์ คาดหวังกลุ่มผู้ใช้งานวินโดวส์รุ่นเดิมที่มีสัดส่วนมากกว่า 90% อัปเกรดขึ้นมาเป็นวินโดวส์ 8 และเชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในตลาดอุปกรณ์พกพาทั้งโน้ตบุ๊ก ไฮบริตจ์โน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ต
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การมาของวินโดวส์ 8 ถือเป็นการเปลี่ยนยุคใหม่ของอุปกรณ์ไอที เนื่องจากแต่เดิมผู้บริโภคเฝ้ารอแต่ซอฟต์แวร์ หรือระบบปฏิบัติการที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ปัจจุบันทั้งดีไวส์ และซอฟต์แวร์ ต้องเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งวินโดวส์ 8 สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ บนหลากหลายแพลตฟอร์ม
"ยุคใหม่ของไมโครซอฟท์ช่วยให้ผู้บริโภคที่ใช้งานพีซี โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต หรือแม้แต่สมาร์ทโฟน ทำงานร่วมกันภายใต้รูปแบบเดียวกัน รวมถึงการส่งต่อข้อมูลระหว่างเครื่องทำได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันในฝั่งของลูกค้าองค์กรก็สามารถนำโปรแกรมที่เคยใช้ในระบบปฏิบัติการวินโดวส์รุ่นก่อนหน้ามาใช้งานกับอุปกรณ์รุ่นใหม่ได้ทันที"
โดยในการเปิดตัววินโดวส์ 8 ครั้งนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ใช้มีการคาดการณ์งบประมาณในการโปรโมทมากกว่า 200 ล้านบาท และถือเป็นแคมเปญครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งจะมีการออกอากาศโฆษณาบนโทรทัศน์ต่อเนื่อง 22 สัปดาห์ รวมกับการใช้สื่อทั่วไปอย่างวิทยุ ป้ายโฆษณา เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้งานวินโดวส์ 8
"กลุ่มฐานลูกค้าที่สำคัญของไมโครซอฟท์ในครั้งนี้คือกลุ่มลูกค้าเดิมที่ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมทั้งในรุ่น เอ็กซ์พี วิสต้า และ 7 ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของพีซี โน้ตบุ๊ก ออลอินวัน และแท็บเล็ตที่ใช้งานในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น 5-6 ล้านเครื่องต่อปี"
สำหรับการวางจำหน่ายวินโดวส์ 8 ในประเทศไทย จะมีวางจำหน่ายในรูปแบบกล่อง ในราคา 1,990 บาท สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมที่ต้องการอัปเกรด และราว 2,500 บาท ในรุ่นปกติ และ 5,690 บาทในรุ่นโปร ซึ่งมีโปรโมชันลดเหลือ 5,290 บาทจนถึงวันที่ 5 พ.ย. ตามร้านค้าปลีกที่ร่วมรายการ ส่วนในรุ่น Windows RT จะมาพร้อมกับแท็บเล็ตในรุ่นที่ใช้หน่วยประมวลผล ARM
ขณะเดียวกันผู้ที่เพิ่งซื้อพีซี หรือโน้ตบุ๊กหลังวันที่ 2 มิถุนายน 2555 จะได้รับราคาพิเศษในการอัปเกรดขึ้นเป็นวินโดวส์ 8 ในราคา 14,99 เหรียญสหรัฐ (ราว 499 บาท) หรือถ้าไม่ต้องการซื้อรุ่นอัปเกรดสำหรับลูกค้าที่ซื้อก่อนหน้าก็สามารถสั่งซื้อเพื่อดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ได้ในราคา 39.99 เหรียญ (ราว 1,250 บาท)
"พฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทยยังต้องการสินค้าที่จับต้องได้ จึงนิยมซื้อแบบกล่องมากกว่าสั่งซื้อผ่านออนไลน์ โดยเหตุผลที่ทำให้ราคาแบบกล่องแพงกว่าสั่งซื้อออนไลน์คือเรื่องค่าใช้จ่ายในการผลิต และกระจายสินค้า"
เบื้องต้นอุปกรณ์ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 ทั้งโน้ตบุ๊ก ไฮบริดจ์โน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ต พร้อมวางจำหน่ายในแล้วเวลานี้ราว 22 รุ่น และจะเพิ่มขึ้นเป็น 42 รุ่นภายในสิ้นปีนี้ จากเหล่าผู้ผลิตแบรนด์หลักไม่ว่าจะเป็น เอเซอร์ เอซุส เดลล์ เอชพี เลอโนโว โตชิบา ซัมซุง ฟูจิตสึ และโซนี ส่วนวินโดวส์โฟน 8 ที่จะทยอยออกมาวางจำหน่ายนั้นในปีนี้จะมีเพียง โนเกีย และเอชทีซีเท่านั้น ส่วนซัมซุงจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปีหน้า
ทั้งนี้ไมโครซอฟท์ได้ร่วมกับไอทีซิตี้ในการจัดงาน 'Windows 8 Device Day' ขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2555 ที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ที่จะรวบรวมโปรโมชันจากเหล่าผู้ผลิตหลากหลายแบรนด์มาแสดง และให้เลือกซื้อภายในงาน โดยเน้นการที่ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสการใช้งาน
นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วินโดวส์ 8 ถือเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญสำหรับตลาดไอทีในปีนี้ แต่เนื่องจากปีนี้ตลาดไอทีเรียกได้ว่าค่อนข้างซบเซา ส่งผลให้ยอดขายของไอทีซีตี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอาจลดลงเกือบ 10% แต่เชื่อว่าในระยะยาววินโดวส์ 8 จะเข้ามาช่วยผลักดันรายได้ของไอทีซิตี้อย่างแน่นอน
ASTV ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/CBiZReview/ViewNews.aspx?NewsID=9550000131066
___________________________________________
แท็บเล็ต-สมาร์ตโฟนป่วน ′เอเซอร์′ หวังวินโดว์ส8ปลุกโน้ตบุ๊กคึก
นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2555 คาดว่ายอดขายเอเซอร์จะใกล้เคียงปี 2554 หรือเติบโตเพียง 5% ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกับภาพ รวมของตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไม่เฉพาะในไทย แต่เป็นทิศทางเดียวกับตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นผลจากการชะลอตัวของยอดขายที่ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 3 ส่วนสาเหตุคงไม่เฉพาะจากปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของทวีปยุโรปเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งคือ ตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในปัจจุบันมีแท็บเล็ต และสมาร์ตโฟน ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนกันได้เข้ามาในตลาด ทำให้วงจรชีวิตของโน้ตบุ๊กเปลี่ยนจากเดิมที่ ผู้บริโภคเปลี่ยนรุ่นใหม่ทุก 3 ปี อาจทำให้ผู้บริโภคใช้เวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่เป็น 3-5 ปี
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเปิดตัววินโดว์ส 8 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของไมโครซอฟท์ที่เข้ามาในครั้งนี้ จะเป็นเหตุผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจกลับมาเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ที่มีระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 อีกครั้ง ซึ่งจะเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น โดยขณะนี้บริษัทเริ่มทำตลาดคอมพิวเตอร์ วินโดว์ส 8 ผ่านลูกค้าองค์กรไปแล้ว และเชื่อว่าการตอบรับจะค่อนข้างดี โดยจะเริ่มเห็นความชัดเจนในปี 2556 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันจากการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้บริษัทได้วางกลยุทธ์การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า โดยปีนี้บริษัทได้ลงทุน 50 ล้านบาท สร้างศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์บริการซ่อมเนื้อที่ 5,000 ตร.ม. บนถนนพระราม 3 สำหรับรองรับบริการรับซ่อมจากศูนย์บริการทั้งในกรุงเทพฯ รวม 6 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 9 แห่ง รวมถึงรับผิดชอบตลาด อินโดจีน 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ภายใต้นโยบายรับ-ส่งสินค้าจากตัวแทนทั่วประเทศ และ ส่งกลับภายใน 2 วันทำการ โดยวางเป้าหมายภายใน 3 ปี รายได้จากศูนย์บริการจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 5% ของรายได้รวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5%
ที่มา : นสพ.ข่าวสด
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1351218790&grpid=&catid=06&subcatid=0600
โดยในการเปิดตัววินโดวส์ 8 ครั้งนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ใช้มีการคาดการณ์งบประมาณในการโปรโมทมากกว่า 200 ล้านบาท และถือเป็นแคมเปญครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งจะมีการออกอากาศโฆษณาบนโทรทัศน์ต่อเนื่อง 22 สัปดาห์ รวมกับการใช้สื่อทั่วไปอย่างวิทยุ ป้ายโฆษณา เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้งานวินโดวส์ 8
"กลุ่มฐานลูกค้าที่สำคัญของไมโครซอฟท์ในครั้งนี้คือกลุ่มลูกค้าเดิมที่ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมทั้งในรุ่น เอ็กซ์พี วิสต้า และ 7 ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของพีซี โน้ตบุ๊ก ออลอินวัน และแท็บเล็ตที่ใช้งานในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น 5-6 ล้านเครื่องต่อปี"
สำหรับการวางจำหน่ายวินโดวส์ 8 ในประเทศไทย จะมีวางจำหน่ายในรูปแบบกล่อง ในราคา 1,990 บาท สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมที่ต้องการอัปเกรด และราว 2,500 บาท ในรุ่นปกติ และ 5,690 บาทในรุ่นโปร ซึ่งมีโปรโมชันลดเหลือ 5,290 บาทจนถึงวันที่ 5 พ.ย. ตามร้านค้าปลีกที่ร่วมรายการ ส่วนในรุ่น Windows RT จะมาพร้อมกับแท็บเล็ตในรุ่นที่ใช้หน่วยประมวลผล ARM
ขณะเดียวกันผู้ที่เพิ่งซื้อพีซี หรือโน้ตบุ๊กหลังวันที่ 2 มิถุนายน 2555 จะได้รับราคาพิเศษในการอัปเกรดขึ้นเป็นวินโดวส์ 8 ในราคา 14,99 เหรียญสหรัฐ (ราว 499 บาท) หรือถ้าไม่ต้องการซื้อรุ่นอัปเกรดสำหรับลูกค้าที่ซื้อก่อนหน้าก็สามารถสั่งซื้อเพื่อดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ได้ในราคา 39.99 เหรียญ (ราว 1,250 บาท)
นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2555 คาดว่ายอดขายเอเซอร์จะใกล้เคียงปี 2554 หรือเติบโตเพียง 5% ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกับภาพ รวมของตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไม่เฉพาะในไทย แต่เป็นทิศทางเดียวกับตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นผลจากการชะลอตัวของยอดขาย
ขณะเดียวกันจากการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้บริษัทได้วางกลยุทธ์การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า โดยปีนี้บริษัทได้ลงทุน 50 ล้านบาท สร้างศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์บริการซ่อมเนื้อที่ 5,000 ตร.ม. บนถนนพระราม 3 สำหรับรองรับบริการรับซ่อมจากศูนย์บริการทั้งในกรุงเทพฯ รวม 6 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 9 แห่ง รวมถึงรับผิดชอบตลาด อินโดจีน 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ภายใต้นโยบายรับ-ส่งสินค้าจากตัวแทนทั่วประเทศ และ ส่งกลับภายใน 2 วันทำการ โดยวางเป้าหมายภายใน 3 ปี รายได้จากศูนย์บริการจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 5% ของรายได้รวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5%
____________________________________
ไมโครซอฟท์ทุ่มหนัก 200 ล้าน ชู 'วินโดวส์ 8 เปลี่ยนยุค'
ไมโครซอฟท์ จัดหนักแคมเปญ 'วินโดวส์ 8' ระบุใช้งบมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ผ่านโฆษณาโทรทัศน์ 22 สัปดาห์ คาดหวังกลุ่มผู้ใช้งานวินโดวส์รุ่นเดิมที่มีสัดส่วนมากกว่า 90% อัปเกรดขึ้นมาเป็นวินโดวส์ 8 และเชื่อว่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญในตลาดอุปกรณ์พกพาทั้งโน้ตบุ๊ก ไฮบริตจ์โน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ต
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การมาของวินโดวส์ 8 ถือเป็นการเปลี่ยนยุคใหม่ของอุปกรณ์ไอที เนื่องจากแต่เดิมผู้บริโภคเฝ้ารอแต่ซอฟต์แวร์ หรือระบบปฏิบัติการที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ปัจจุบันทั้งดีไวส์ และซอฟต์แวร์ ต้องเสริมซึ่งกันและกัน ซึ่งวินโดวส์ 8 สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้ บนหลากหลายแพลตฟอร์ม
"ยุคใหม่ของไมโครซอฟท์ช่วยให้ผู้บริโภคที่ใช้งานพีซี โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต หรือแม้แต่สมาร์ทโฟน ทำงานร่วมกันภายใต้รูปแบบเดียวกัน รวมถึงการส่งต่อข้อมูลระหว่างเครื่องทำได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันในฝั่งของลูกค้าองค์กรก็สามารถนำโปรแกรมที่เคยใช้ในระบบปฏิบัติการวินโดวส์รุ่นก่อนหน้ามาใช้งานกับอุปกรณ์รุ่นใหม่ได้ทันที"
โดยในการเปิดตัววินโดวส์ 8 ครั้งนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ใช้มีการคาดการณ์งบประมาณในการโปรโมทมากกว่า 200 ล้านบาท และถือเป็นแคมเปญครั้งใหญ่ที่สุด ซึ่งจะมีการออกอากาศโฆษณาบนโทรทัศน์ต่อเนื่อง 22 สัปดาห์ รวมกับการใช้สื่อทั่วไปอย่างวิทยุ ป้ายโฆษณา เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้งานวินโดวส์ 8
"กลุ่มฐานลูกค้าที่สำคัญของไมโครซอฟท์ในครั้งนี้คือกลุ่มลูกค้าเดิมที่ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมทั้งในรุ่น เอ็กซ์พี วิสต้า และ 7 ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของพีซี โน้ตบุ๊ก ออลอินวัน และแท็บเล็ตที่ใช้งานในประเทศไทย ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น 5-6 ล้านเครื่องต่อปี"
สำหรับการวางจำหน่ายวินโดวส์ 8 ในประเทศไทย จะมีวางจำหน่ายในรูปแบบกล่อง ในราคา 1,990 บาท สำหรับลูกค้าที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เดิมที่ต้องการอัปเกรด และราว 2,500 บาท ในรุ่นปกติ และ 5,690 บาทในรุ่นโปร ซึ่งมีโปรโมชันลดเหลือ 5,290 บาทจนถึงวันที่ 5 พ.ย. ตามร้านค้าปลีกที่ร่วมรายการ ส่วนในรุ่น Windows RT จะมาพร้อมกับแท็บเล็ตในรุ่นที่ใช้หน่วยประมวลผล ARM
ขณะเดียวกันผู้ที่เพิ่งซื้อพีซี หรือโน้ตบุ๊กหลังวันที่ 2 มิถุนายน 2555 จะได้รับราคาพิเศษในการอัปเกรดขึ้นเป็นวินโดวส์ 8 ในราคา 14,99 เหรียญสหรัฐ (ราว 499 บาท) หรือถ้าไม่ต้องการซื้อรุ่นอัปเกรดสำหรับลูกค้าที่ซื้อก่อนหน้าก็สามารถสั่งซื้อเพื่อดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ได้ในราคา 39.99 เหรียญ (ราว 1,250 บาท)
"พฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทยยังต้องการสินค้าที่จับต้องได้ จึงนิยมซื้อแบบกล่องมากกว่าสั่งซื้อผ่านออนไลน์ โดยเหตุผลที่ทำให้ราคาแบบกล่องแพงกว่าสั่งซื้อออนไลน์คือเรื่องค่าใช้จ่ายในการผลิต และกระจายสินค้า"
เบื้องต้นอุปกรณ์ที่ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 ทั้งโน้ตบุ๊ก ไฮบริดจ์โน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ต พร้อมวางจำหน่ายในแล้วเวลานี้ราว 22 รุ่น และจะเพิ่มขึ้นเป็น 42 รุ่นภายในสิ้นปีนี้ จากเหล่าผู้ผลิตแบรนด์หลักไม่ว่าจะเป็น เอเซอร์ เอซุส เดลล์ เอชพี เลอโนโว โตชิบา ซัมซุง ฟูจิตสึ และโซนี ส่วนวินโดวส์โฟน 8 ที่จะทยอยออกมาวางจำหน่ายนั้นในปีนี้จะมีเพียง โนเกีย และเอชทีซีเท่านั้น ส่วนซัมซุงจะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปีหน้า
ทั้งนี้ไมโครซอฟท์ได้ร่วมกับไอทีซิตี้ในการจัดงาน 'Windows 8 Device Day' ขึ้นตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2555 ที่ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ที่จะรวบรวมโปรโมชันจากเหล่าผู้ผลิตหลากหลายแบรนด์มาแสดง และให้เลือกซื้อภายในงาน โดยเน้นการที่ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสการใช้งาน
นายเอกชัย ศิริจิระพัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วินโดวส์ 8 ถือเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญสำหรับตลาดไอทีในปีนี้ แต่เนื่องจากปีนี้ตลาดไอทีเรียกได้ว่าค่อนข้างซบเซา ส่งผลให้ยอดขายของไอทีซีตี้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอาจลดลงเกือบ 10% แต่เชื่อว่าในระยะยาววินโดวส์ 8 จะเข้ามาช่วยผลักดันรายได้ของไอทีซิตี้อย่างแน่นอน
ASTV ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/CBiZReview/ViewNews.aspx?NewsID=9550000131066
___________________________________________
แท็บเล็ต-สมาร์ตโฟนป่วน ′เอเซอร์′ หวังวินโดว์ส8ปลุกโน้ตบุ๊กคึก
นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2555 คาดว่ายอดขายเอเซอร์จะใกล้เคียงปี 2554 หรือเติบโตเพียง 5% ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกับภาพ รวมของตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไม่เฉพาะในไทย แต่เป็นทิศทางเดียวกับตลาดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นผลจากการชะลอตัวของยอดขายที่ต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 3 ส่วนสาเหตุคงไม่เฉพาะจากปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของทวีปยุโรปเพียงอย่างเดียว แต่ส่วนหนึ่งคือ ตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กในปัจจุบันมีแท็บเล็ต และสมาร์ตโฟน ซึ่งเป็นสินค้าทดแทนกันได้เข้ามาในตลาด ทำให้วงจรชีวิตของโน้ตบุ๊กเปลี่ยนจากเดิมที่ ผู้บริโภคเปลี่ยนรุ่นใหม่ทุก 3 ปี อาจทำให้ผู้บริโภคใช้เวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่เป็น 3-5 ปี
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเปิดตัววินโดว์ส 8 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของไมโครซอฟท์ที่เข้ามาในครั้งนี้ จะเป็นเหตุผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจกลับมาเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ที่มีระบบปฏิบัติการวินโดว์ส 8 อีกครั้ง ซึ่งจะเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น โดยขณะนี้บริษัทเริ่มทำตลาดคอมพิวเตอร์ วินโดว์ส 8 ผ่านลูกค้าองค์กรไปแล้ว และเชื่อว่าการตอบรับจะค่อนข้างดี โดยจะเริ่มเห็นความชัดเจนในปี 2556 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันจากการแข่งขันในตลาดที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้บริษัทได้วางกลยุทธ์การสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ลูกค้า โดยปีนี้บริษัทได้ลงทุน 50 ล้านบาท สร้างศูนย์กระจายสินค้าและศูนย์บริการซ่อมเนื้อที่ 5,000 ตร.ม. บนถนนพระราม 3 สำหรับรองรับบริการรับซ่อมจากศูนย์บริการทั้งในกรุงเทพฯ รวม 6 แห่ง และต่างจังหวัดอีก 9 แห่ง รวมถึงรับผิดชอบตลาด อินโดจีน 3 ประเทศ คือ พม่า ลาว และกัมพูชา ภายใต้นโยบายรับ-ส่งสินค้าจากตัวแทนทั่วประเทศ และ ส่งกลับภายใน 2 วันทำการ โดยวางเป้าหมายภายใน 3 ปี รายได้จากศูนย์บริการจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 5% ของรายได้รวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5%
ที่มา : นสพ.ข่าวสด
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1351218790&grpid=&catid=06&subcatid=0600
ไม่มีความคิดเห็น: