17 กรกฎาคม 2556 (เกาะติดประมูลDigital TV) TDRI ชี้ การลดสาระช่องข่าว จาก75 % เป็น 50 % ถือเป็นการทีวีสอดไส้//การบังคับให้ช่องธุรกิจต้องส่งสัญญาณขึ้นดาวเทียม(ผู้ได้ประโยชน์ไทยคม)
ประเด็นหลัก
“อาจจะได้เห็นทีวีดิจิตอลเป็น ทีวีสอดไส้ คือผู้ประกอบการเอาช่องสาธารณะเพื่อความมั่นคงไปทำช่องธุรกิจ และเอาช่องธุรกิจไปให้บริการผิดประเภทก็เป็นได้”
อีกทั้งยังมีประเด็นไม่เห็นด้วยกับผลการประเมินราคาค่าบริการโครงข่ายที่จัดทำโดย ผู้ประกอบการโครงข่าย ซึ่งอยู่ที่ราว 50 ล้านบาทต่อ 1 ช่องรายการปกติ และจะแพงเป็น 2-3 เท่าสำหรับช่องความคมชัดสูง (HD) ซึ่งวิธีเช่นนี้จะเหมือนเป็นการยกผลประโยชน์ให้กับคนได้บริการด้านโครงข่ายอย่างมาก แต่เป็นฝันร้ายสำหรับผู้ประกอบการรายเล็กที่เข้ามาสู่อุตสาหกรรม
นอกจากนี้ประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป หรือ “มัสต์ แคร์รี่ รูล” ได้กำหนดให้ผู้ให้บริการในช่องสาธารณะ และช่องธุรกิจต้องส่งสัญญาณขึ้นดาวเทียม ให้ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมได้นำไปเผยแพร่ ซึ่งเท่ากับจะเพิ่มค่าใช้จ่ายแก่ผู้ประกอบการ อีกทั้งช่องธุรกิจยังไม่มีหลักประกันว่าจะมีคนรับมาเผยแพร่ต่อบนทีวีดาวเทียมหรือไม่ ส่วนคนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือผู้ให้บริการดาวเทียม ที่ผูกขาดเพียงรายเดียว คือผู้ให้บริการดาวเทียมไทยคม
“ประเด็นการจัดสรรช่องสาธารณะที่กล่าวหาว่าไม่เป็นธรรม ขอยืนยันว่าจุดประสงค์ที่แท้จริง ไม่ได้เอื้อคนหนึ่งคนใดเข้ามาได้รับใบอนุญาต แต่ได้มีการจัดประเภทไว้เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มกัน”
ส่วนช่องข่าวที่มีการลดสัดส่วนการออกอากาศเหลือ 50% ก็เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถหารายได้เพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอดได้ อีกทั้งการไม่ปรับราคาตั้งต้นการประมูล ก็เนื่องจากผู้ศึกษามูลค่าคลื่นได้ให้คำตอบมาว่าการปรับสัดส่วนดังกล่าวไม่เป็นสาระที่เกี่ยวข้อกับราคาคลื่นแต่อย่างใด
นอกจากนี้ในประเด็นเรื่องของราคาค่าบริการโครงข่ายก็ยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างเป็นทางการในตอนนี้ แต่กสท.ต้องการทำให้เป็นราคากลางเพื่อความอยู่รอดได้ของทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่าผลประโยชน์ของใคร
______________________________________
“ทีดีอาร์ไอ” จวก กสท. เงื่อนไขประมูลทีวีดิจิตอล
“ทีดีอาร์ไอ” บ่นยับ การจัดสรรใบอนุญาตทีวีดิจิตอล ชี้มีหลายจุดต้องแก้ไขโดยด่วน ด้าน “นที” สวนกลับ ถนัดแต่วิพากษ์วิจารณ์แต่ไม่ศึกษาก่อน พร้อมย้ำทำตามกฏหมายทุกข้อ
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันเพื่อวิจัยและพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวภายในงานเสวนา เรื่อง “คิดใหม่การจัดสรรคลื่นทีวีดิจิตอล” ว่า ในตอนนี้กังวลเป็นอย่างมากกับกระบวนการจัดสรรใบอนุญาตทีวีดิจิตอลทั้งในประเภททีวีสาธารณะ จำนวน 12 ช่อง ที่ใช้วิธีจัดสรรตามความเหมาะสม และประเภททีวีธุรกิจ จำนวน 24 ช่อง ที่ใช้วิธีประมูลคลื่นความถี่ ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ (กสท.) เนื่องจากมีหลายประเด็นในกฏเกณฑ์ต่างๆที่ยังไม่เป็นธรรม และผู้บริโภคจะไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะในประเด็น การที่ กสท. ไปลดสัดส่วนเนื้อหาสาระที่นำเสนอในช่องรายการข่าวให้มีข่าวสารสาระจากเดิมที่ 75% ลดลงให้เหลือ 50% อาจนำไปสู่การทำให้ผู้ประกอบการบางรายประมูลช่องรายการข่าวมาเพื่อให้บริการช่องวาไรตี้ก็เป็นได้ เนื่องจากช่องข่าวมีต้นทุนราคาตั้งต้นการประมูลที่น้อยกว่าช่องวาไรตี้ โดยช่องรายการข่าวมีราคาตั้งต้นการประมูลอยู่ที่ 220 ล้านบาท แต่ช่องรายการวาไรตี้มีราคาตั้งต้นอยู่ที่ 380 ล้าบาท
“อาจจะได้เห็นทีวีดิจิตอลเป็น ทีวีสอดไส้ คือผู้ประกอบการเอาช่องสาธารณะเพื่อความมั่นคงไปทำช่องธุรกิจ และเอาช่องธุรกิจไปให้บริการผิดประเภทก็เป็นได้”
อีกทั้งยังมีประเด็นไม่เห็นด้วยกับผลการประเมินราคาค่าบริการโครงข่ายที่จัดทำโดย ผู้ประกอบการโครงข่าย ซึ่งอยู่ที่ราว 50 ล้านบาทต่อ 1 ช่องรายการปกติ และจะแพงเป็น 2-3 เท่าสำหรับช่องความคมชัดสูง (HD) ซึ่งวิธีเช่นนี้จะเหมือนเป็นการยกผลประโยชน์ให้กับคนได้บริการด้านโครงข่ายอย่างมาก แต่เป็นฝันร้ายสำหรับผู้ประกอบการรายเล็กที่เข้ามาสู่อุตสาหกรรม
นอกจากนี้ประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป หรือ “มัสต์ แคร์รี่ รูล” ได้กำหนดให้ผู้ให้บริการในช่องสาธารณะ และช่องธุรกิจต้องส่งสัญญาณขึ้นดาวเทียม ให้ผู้ประกอบการทีวีดาวเทียมได้นำไปเผยแพร่ ซึ่งเท่ากับจะเพิ่มค่าใช้จ่ายแก่ผู้ประกอบการ อีกทั้งช่องธุรกิจยังไม่มีหลักประกันว่าจะมีคนรับมาเผยแพร่ต่อบนทีวีดาวเทียมหรือไม่ ส่วนคนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ ก็คือผู้ให้บริการดาวเทียม ที่ผูกขาดเพียงรายเดียว คือผู้ให้บริการดาวเทียมไทยคม
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ทีดีอาร์ไอ อยากเสนอให้ กสท. เปลี่ยนแปลงกฎการเลือกผู้ได้รับใบอนุญาตให้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง รวมทั้งต้องผ่านการทำประชาพิจารณ์ การปรับราคาตั้งต้นการประมูลในช่องรายการข่าวใหม่ หรืออาจลดสัดส่วนใบอนุญาตที่มีอยู่ 7 ช่องแทน เนื่องจากผลการศึกษามูลค่าคลื่นความถี่แท้จริง เพื่อนำมากำหนดอัตราราคาตั้งต้นที่ใช้ในการประมูล ของคณะเศรษฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการคำนวณจากอัตราสัดส่วนเวลาออกอากาศรายการ 50% มิเช่นนั้นแล้วคนที่จะทำช่องวาไรตี้จะไปประมูลช่องข่าว กสท. จะได้ผลลัพท์การประมูลที่แย่กว่านี้ และควรแก้ไขกฎมัสต์แคร์รี่รูล ให้ผู้ที่ต้องจ่ายค่าส่งสัญญาณคือผู้ที่นำไปถ่ายทอดต่อ และควรกำค่าบริการโครงข่ายที่เหมาะสม
ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า จากประเด็นต่างๆที่ทีดีอาร์ไอแสดงความคิดเห็นมาว่ากฏเกณฑ์ต่างๆในการจัดสรรใบอนุญาตทีวีดิจิตอลไม่ถูกต้องนั้น ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่า บ้านเราคนถนัดแต่วิพากษ์วิจารณ์แต่ไม่ศึกษา ซึ่งขอยืนยันว่าการจัดสรรใบอนุญาตทีวีดิจิตอลของ กสทช. กระทำภายใต้กฎหมายอย่างรอบคอบจากประกาศ กสทช. กว่า 8 ฉบับ
“ประเด็นการจัดสรรช่องสาธารณะที่กล่าวหาว่าไม่เป็นธรรม ขอยืนยันว่าจุดประสงค์ที่แท้จริง ไม่ได้เอื้อคนหนึ่งคนใดเข้ามาได้รับใบอนุญาต แต่ได้มีการจัดประเภทไว้เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่มกัน”
ส่วนช่องข่าวที่มีการลดสัดส่วนการออกอากาศเหลือ 50% ก็เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถหารายได้เพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอดได้ อีกทั้งการไม่ปรับราคาตั้งต้นการประมูล ก็เนื่องจากผู้ศึกษามูลค่าคลื่นได้ให้คำตอบมาว่าการปรับสัดส่วนดังกล่าวไม่เป็นสาระที่เกี่ยวข้อกับราคาคลื่นแต่อย่างใด
นอกจากนี้ในประเด็นเรื่องของราคาค่าบริการโครงข่ายก็ยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างเป็นทางการในตอนนี้ แต่กสท.ต้องการทำให้เป็นราคากลางเพื่อความอยู่รอดได้ของทั้ง 2 ฝ่ายมากกว่าผลประโยชน์ของใคร
http://www.manager.co.th/CBiZReview/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087291
___________________________________________________
ประธานทีดีอาร์ไอติงประมูลทีวีดิจิตอล
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในงานสัมมนา “คิดใหม่การจัดสรรคลื่นทีวีดิจิตอล” ว่า การปรับเงื่อนไขการประมูลทีวีดิจิตอลสำหรับช่องธุรกิจ 24 ช่อง ด้วยการปรับลดสัดส่วนข้อกำหนดให้บริการช่องข่าวจากร้อยละ 75 ลดเหลือร้อยละ 50 ทำให้มีคนบางกลุ่มอาศัยช่องทีวีราคาถูกกว่า เพื่อนำไปให้บริการช่องวาไรตี้
สำหรับช่องวาไรตี้ระบบ HD ราคาประมูลเริ่มต้น 1,510 ล้านบาท วาไรตี้ระบบ SD ราคาเริ่มต้น 380 ล้านบาท แต่ราคาประมูลช่องข่าว ราคาเริ่มต้น 220 ล้านบาท จึงเป็นการเปิดโอกาสให้เอกชนแข่งกันมาประมูลช่องข่าว เพื่อนำไปออกอากาศรายการวาไรตี้มีสัดส่วนถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้ ยังมีผู้ขอใบอนุญาตโทรทัศน์เพื่อขอออกอากาศด้านความมั่นคง แต่กลับให้บริการออกอากาศเป็นรายการทั่วไป แข่งขันกับทีวี.ประเภทธุรกิจ นับว่าเป็นการเอาเปรียบเอกชนรายอื่น
ด้านนายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้จะมีทีวีดิจิตอลเกิดขึ้นมา แต่โดยธรรมชาติของการโฆษณาแล้ว ธุรกิจทีวี.ในประเทศจะอยู่รอดได้เพียง 20-25 ช่องเท่านั้นและอาจทำให้ทีวี.กว่า 200 ช่องบริหารได้ลำบากและอยู่ไม่ได้ การโฆษณาจะเปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังกังวลว่า ระบบการวัดเรตติ้งในประเทศไทยยอมรับว่ายังมีความเบี่ยงเบนไม่ตรงกับความจริง ทำให้สินค้าที่ต้องการลงโฆษณาจะไม่ยอมไปลงโฆษณา เช่น ละครช่อง 3 สุภาพบุรุษจุฑาเทพที่ได้รับความนิยมโด่งดังมาก แต่เมื่อวัดเรตติ้ง กลับระบุว่าเรตติ้งช่อง 7 สูงกว่า ดังนั้นเมื่อมีทีวี.ดิจิตอลเกิดขึ้นมา กสทช.ต้องดูว่าจะมีระบบวัดเรตติ้งอย่างไรในอนาคต
http://www.naewna.com/business/60190
___________________________________________
ทีดีอาร์ไอ ชี้ กสท.ปรับสัดส่วนช่องข่าว เอื้อผู้ประกอบการลงทุนต่ำ
ประธาน ทีดีอาร์ไอ ไม่เห็นด้วย กสท.ปรับลดเนื้อหาช่องข่าว ชี้เอื้อผู้ประกอบการจ่ายต่ำ เปรียบตีตั๋วเด็ก แต่ไปทำธุรกิจของผู้ใหญ่
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ประธาน ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับมติที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา ถึงการปรับลดสัดส่วนรายการเนื้อหาข่าวของช่องข่าวจาก 75% เหลือ 50% เพราะเท่ากับว่าช่องรายการข่าวและช่องรายการทั่วไปแทบมีเนื้อหาที่ไม่แตกต่างกันเลยและเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะประมูลช่องข่าวที่มีต้นทุนต่ำกว่า แล้วไปแสวงหากำไรในเชิงธุรกิจ เหมือนตีตั๋วเด็ก แต่ไปทำธุรกิจของผู้ใหญ่
สำหรับกรณีที่กสท. มีความเป็นห่วงว่าจะซ้ำรอยไอทีวีนั้น เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะขณะนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าผู้ประกอบการที่พร้อมจะเข้าประมูลช่องข่าวมีมากกว่าจำนวน 7 ช่องที่เปิดประมูล ดังนั้น กสท. จึงไม่จำเป็นต้องปรับลดสัดส่วนเพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีผู้เข้าร่วมประมูลมากขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังกังวลในเรื่องของช่องสาธารณะที่จะเป็นแค่นิยามว่าสาธารณะ เพราะในความจริงกลายเป็นช่องของหน่วยงานรัฐ ซึ่งอนาคตจะมีช่องที่เป็นเหมือนช่อง 11 ในปัจจุบันทั้ง 12 ช่อง คือ ไม่ใช่ช่องที่ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง และเท่ากับว่าการปฏิรูปสื่อไม่เกิดขึ้น
“ในฐานะที่ตนอยู่ในทีมร่างพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ยอมรับว่ามีนายทหารมาล็อบบี้ ในช่องสาธารณะประเภทที่ 2 ที่กำหนดไว้ให้เป็นช่องเพื่อความมั่นคง คือ กองทัพบก และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่มีเงื่อนไขว่าต้องโฆษณาได้เท่าที่เพียงพอต่อการประกอบการ ซึ่งถือเป็นจุดบอดของกฎหมายฉบับนี้” นายสมเกียรติ กล่าว.
http://www.dailynews.co.th/technology/219631
ไม่มีความคิดเห็น: