Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

16 กันยายน 2557 JKN.จักรพงษ์ ระบุ ปีนี้เป็นการเริ่มต้นของทีวีดิจิตอลเมืองไทย ซึ่งการเปิดช่องทีวีใหม่ถึง 24 ช่อง ทำให้ตลาดธุรกิจคอนเทนต์ในเมืองไทยถูกจับจอง

ประเด็นหลัก

 นายจักรพงษ์ แอนดรูว์ สุธีสถาพร  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายคอนเทนต์จากทั่วโลก อาทิ BBC, Discovery Channel, National Geographic, ซีรีส์เกาหลี, การ์ตูน, รายการวาไรตี  ฯลฯ  เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า  แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีผู้ประเมินมูลค่าตลาดธุรกิจคอนเทนต์ในเมืองไทย แต่พบว่าธุรกิจคอนเทนต์มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเติบโตสุดขีดในช่วงที่เปิดตัวทีวีดิจิตอล  ทำให้คาดว่าในปีนี้ธุรกิจคอนเทนต์จะเติบโตกว่า 10 เท่าตัว ทั้งคอนเทนต์ไทยและคอนเทนต์จากต่างประเทศ ขณะที่ราคาคอนเทนต์จากต่างประเทศก็ขยับเพิ่มสูงขึ้นตามดีมานด์ของตลาด

    โดยคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ซีรีส์เกาหลี, ภาพยนตร์ฮอลลีวูด และการ์ตูน  ขณะที่คอนเทนต์อื่นๆ อาทิ คอนเสิร์ต  เกมโชว์  สารคดี ก็ยังเป็นที่นิยมในวงกว้าง  ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องต่อไปจนถึงในปีหน้า
    "ปีนี้เป็นการเริ่มต้นของทีวีดิจิตอลเมืองไทย ซึ่งการเปิดช่องทีวีใหม่ถึง 24 ช่องในเวลาเดียวกัน ทำให้แต่ละช่องต้องมุ่งสรรหาคอนเทนต์มาป้อนให้ได้ตามที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำหนด นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ต้องการคอนเทนต์ด้วย ทำให้คอนเทนต์ทุกรูปแบบต่างถูกจับจองไว้หมด และกลายเป็นสิ่งมีค่า ถูกแย่งชิง ราคาจึงขยับสูงขึ้นตามดีมานด์ที่มาก"
    แม้ช่วงนี้ทีวีดิจิตอลจะเพิ่งเริ่มออกสตาร์ตแต่ก็ทำให้ธุรกิจคอนเทนต์ตื่นตัวมาก ดังนั้นในปีหน้าที่ทีวีดิจิตอลแข็งแรง ย่อมจะส่งผลให้ธุรกิจคอนเทนต์เติบโตตามไปด้วย จึงเชื่อว่าปีนี้และปีหน้ายังคงเป็นช่วงปีทองของคอนเทนต์ โพรไวเดอร์ต่อไป



______________________________




'คอนเทนต์'แรงติดจรวดเจเคเอ็นฯจ่อขนซีรีส์/หนังดังป้อนทีวีดิจิตอล



 ชี้ตลาดคอนเทนต์เมืองไทยโตก้าวกระโดด  หลังทีวีดิจิตอลออกสตาร์ต เผย 3 หมวดยอดฮิต "ซีรีส์เกาหลี/หนังฮอลลีวูด/การ์ตูน" ฮอตสุดๆ ดันราคาพุ่งพรวด "เจเคเอ็น" เผยเตรียมนำเข้าคอนเทนต์ใหม่อีกกว่าพันเรื่องใน 8 หมวด มูลค่าร่วมพันล้าน จ่อขายทั้งตลาดในไทยและต่างประเทศ
 alt   นายจักรพงษ์ แอนดรูว์ สุธีสถาพร  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายคอนเทนต์จากทั่วโลก อาทิ BBC, Discovery Channel, National Geographic, ซีรีส์เกาหลี, การ์ตูน, รายการวาไรตี  ฯลฯ  เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า  แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีผู้ประเมินมูลค่าตลาดธุรกิจคอนเทนต์ในเมืองไทย แต่พบว่าธุรกิจคอนเทนต์มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเติบโตสุดขีดในช่วงที่เปิดตัวทีวีดิจิตอล  ทำให้คาดว่าในปีนี้ธุรกิจคอนเทนต์จะเติบโตกว่า 10 เท่าตัว ทั้งคอนเทนต์ไทยและคอนเทนต์จากต่างประเทศ ขณะที่ราคาคอนเทนต์จากต่างประเทศก็ขยับเพิ่มสูงขึ้นตามดีมานด์ของตลาด

    โดยคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ซีรีส์เกาหลี, ภาพยนตร์ฮอลลีวูด และการ์ตูน  ขณะที่คอนเทนต์อื่นๆ อาทิ คอนเสิร์ต  เกมโชว์  สารคดี ก็ยังเป็นที่นิยมในวงกว้าง  ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องต่อไปจนถึงในปีหน้า
    "ปีนี้เป็นการเริ่มต้นของทีวีดิจิตอลเมืองไทย ซึ่งการเปิดช่องทีวีใหม่ถึง 24 ช่องในเวลาเดียวกัน ทำให้แต่ละช่องต้องมุ่งสรรหาคอนเทนต์มาป้อนให้ได้ตามที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำหนด นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ต้องการคอนเทนต์ด้วย ทำให้คอนเทนต์ทุกรูปแบบต่างถูกจับจองไว้หมด และกลายเป็นสิ่งมีค่า ถูกแย่งชิง ราคาจึงขยับสูงขึ้นตามดีมานด์ที่มาก"
    แม้ช่วงนี้ทีวีดิจิตอลจะเพิ่งเริ่มออกสตาร์ตแต่ก็ทำให้ธุรกิจคอนเทนต์ตื่นตัวมาก ดังนั้นในปีหน้าที่ทีวีดิจิตอลแข็งแรง ย่อมจะส่งผลให้ธุรกิจคอนเทนต์เติบโตตามไปด้วย จึงเชื่อว่าปีนี้และปีหน้ายังคงเป็นช่วงปีทองของคอนเทนต์ โพรไวเดอร์ต่อไป
    นายจักรพงษ์กล่าวอีกว่า คอนเทนต์ต่างประเทศจะยังคงได้รับความนิยมมาก เพราะเป็นคอนเทนต์สำเร็จรูป สามารถเลือกซื้อได้สะดวก  นำไปออกอากาศได้เร็ว  ประหยัดต้นทุน และสามารถเลือกคอนเทนต์ที่เรียกเรตติ้งได้ ซึ่งจะส่งผลต่อโฆษณาที่จะเข้ามาในอนาคต แทนการผลิตคอนเทนต์เอง ที่ต้องใช้ต้นทุนสูงและโอกาสเสี่ยงมากกว่า  ดังนั้นเชื่อว่าคอนเทนต์จากต่างประเทศยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่
    ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจคอนเทนต์ในเมืองไทย ยังจำกัดอยู่เพียงไม่กี่ราย เนื่องจากการเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายคอนเทนต์ จะต้องมีประสบการณ์ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิต ซึ่งเจเคเอ็นฯ เอง เป็นบริษัทในเครือเอสทีจี มัลติมีเดีย ซึ่งมีประสบการณ์นำเข้าคอนเทนต์จากทั่วโลกมากกว่า 15 ปี ทำให้ปัจจุบันเจเคเอ็นฯ มีลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากทั่วโลกรวมกว่า 1 พันเรื่อง/รายการ ใน 8 หมวดได้แก่  Asian Fantasy อาทิ  คิมซุล  วีรบุรุษกู้แผ่นดิน, ลีซาน  จอมบัลลังก์พลิกแผ่นดิน, ซอนด๊อก  มหาราชินีสามแผ่นดิน, My Princess ฯลฯ,  Hollywood Hits  อาทิ  Penny Dreadful, ALPHAS, Dracula, LOST, Defiance  ฯลฯ, Music Star Parade รายการเพลงท็อปฮิต ติดชาร์ตบิลบอร์ดของศิลปินดังจากทั่วโลก  อาทิ iConcert, Music on top, Simply K-Pop, Made in U เป็นต้น
    Kids Inspired  อาทิ  KungFu Panda, The Penquins of Madagascar, Dora the explore, SpongeBob, Avatar, Teenage Mutant Ninja, Legend of Korra เป็นต้น,  I  Magic The Project  รวมสุดยอดสารคดีชั้นนำจากผู้ผลิตระดับโลก เช่น BBC,  Discovery Channel, National Geographic เป็นต้น, Talk Show & Seasonal Highlight, Super Show  และ News  เป็นต้น
    สำหรับบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด  จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2556  ด้วยทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท ปัจจุบันเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ให้กับผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล  เคเบิลทีวี  ทีวีดาวเทียม  เพย์ทีวี Video On Demand (VOD) โฮมวิดีโอ  เป็นต้น โดยหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้มาจองคอนเทนต์แล้วกว่า 35% ทำให้บริษัทมั่นใจว่าในปีนี้ตั้งเป้าจะมีรายได้กว่า 700 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 พันล้านบาทในปีหน้า
    ด้านนายนพกร ทองมั่น ผู้บริหาร บริษัท คอนเทนท์ แล็บ จำกัด  ผู้นำเข้าและผลิตคอนเทนต์ในเครือเจเอสแอล  กล่าวว่า การแข่งขันของอุตสาหกรรมบันเทิงและโทรทัศน์ในวันนี้มีความเข้มข้นขึ้นมาก เนื่องจากช่องทางที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จึงมีผู้ให้ความสนใจเข้าสู่ตลาดนี้มากมาย ในขณะที่เม็ดเงินในอุตสาหกรรมมีเท่าเดิม จึงส่งผลกระทบให้ผู้ผลิต content ต้องทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  จากเดิมที่ผู้ผลิตคอนเทนต์จะมีช่องทางการเสนองานค่อนข้างจำกัด และธุรกิจบันเทิงไทยมักจะเป็นผู้กำหนดเนื้อหาและรูปแบบรายการบนพื้นฐานของ Business model แบบเดิมๆ  แต่ในปัจจุบันอุตสาหกรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างทำให้ธุรกิจนี้ตื่นตัวมากขึ้น และมีโฆษณาเข้ามาเพิ่มด้วย
    บริษัทตั้งเป้ายอดรายได้ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 250 ล้านบาท โดยวางแผนการดำเนินปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ 5 รายการ อาทิรายการ มาเชียลวออริเออร์, KEEP YOUR LIGHT SHINING THAILAND และ Junior Bake Off ฯลฯ ออกอากาศผ่านทีวีดิจิตอล 5 ช่อง อาทิ ช่อง 7 และช่อง now เป็นต้น และมีแผนจะส่งคอนเทนต์ไปขายในต่างประเทศ  1-2 รายการ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

 http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=245825:2014-09-09-05-15-07&catid=106:-marketing&Itemid=456#.VBbARUtAeuw

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.