8 พฤษภาคม 2556 (เกาะติดประมูลDigital TV) ช่องทีวีดาวเทียม "การ์ตูน คลับ" กำลังตัดสินใจระมูลแต่เพียงผู้เดียว หรือ ร่วมกับพันธมิตรในการประมูล
ประเด็นหลัก
ด้านนายธนัท ตันอนุชิตติกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท การ์ตูนมีเดีย จำกัด ผู้บริหารลิขสิทธิ์การ์ตูนจากญี่ปุ่นและผู้บริหารสถานีช่องทีวีดาวเทียม "การ์ตูน คลับ" หนึ่งในผู้สนใจเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิตอลช่องรายการเด็ก กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า การกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลทีวีดิจิตอลช่องรายการเด็กที่ 140 ล้านบาทต่อช่องรายการนั้น ถือว่ายอมรับได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และบริษัทพร้อมเข้าร่วมประมูลโดยมี 2 ทางเลือก คือ บริษัทเป็นผู้ประมูลแต่เพียงผู้เดียว หรือ ร่วมกับพันธมิตรในการประมูล เพราะเนื้อหาที่นำเสนอต้องมีความหลากหลายทั้ง การ์ตูน , สารคดีเด็ก , สร้างสรรค์ สาระให้กับสังคม เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เชื่อว่าผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิตอลพบและเป็นปัญหาคือ เรื่องของโครงข่ายทีวีดิจิตอลว่าจะมีอัตราค่าเช่าเท่าไร เพราะถือเป็นต้นทุนรวมที่ทุกบริษัทต้องนำมาคิดรวมกับราคาการประมูล และอีกปัญหาคือเรื่องของการจัดการให้ประชาชนสามารถดูทีวีดิจิตอลได้ ซึ่งแม้กสทช. จะมีแนวคิดในการแจกคูปองเงินสด เพื่อไปซื้อโทรทัศน์หรือกล่องรับสัญญาณ (Set Top Box) ในอัตรา 690 บาทต่อครัวเรือน แต่หากราคาโทรทัศน์หรือกล่องสูงมากเกินไป ประชาชนย่อมไม่อยากเสียเงินเพิ่ม เพราะคิดว่ามีฟรีทีวี และทีวีดาวเทียมจำนวน 278 ช่องให้ดูแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดูทีวีดิจิตอลก็ได้
"ที่ผ่านมากสทช. ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของโครงข่ายว่าจะให้ใช้โครงข่ายใคร คิดค่าเช่าอย่างไร แต่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะถือเป็นต้นทุนที่จะต้องนำมาศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน เช่น หากค่าเช่าโครงข่าย 5 ล้านบาทต่อเดือน คิดเป็น 60 ล้านบาทต่อปี หาก 15 ปี จะต้องมีค่าใช้จ่าย 900 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับเงินที่ต้องใช้ประมูล ผู้ประกอบการจะลงทุนไหวหรือไม่"
ขณะที่นายฉัตรชัย ตะวันธรงค์ บรรณาธิการบริหาร บริษัท เทรน วีจี3 จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ หนึ่งในผู้สนใจเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิตอล กล่าวว่า ราคาประมูลจะสูงหรือต่ำนั้นไม่ใช่สิ่งที่กังวล แต่ปัจจัยหลักที่ผู้ประกอบการแต่ละรายรวมถึงบริษัทนำมาใช้ในการตัดสินใจเลือกประมูลทีวีดิจิตอลในช่องไหนนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ความชัดเจนจาก กสทช.ที่จะออกมารองรับ เบื้องต้นบริษัทมีความสนใจที่จะประมูล 1 ช่องของทีวีดิจิตอลอยู่แล้ว ส่วนจะเป็นช่องวาไรตีหรือช่องข่าวนั้น คงต้องรอดูหลังจากที่ กสทช.ประกาศข้อกำหนดและเงื่อนไขของแต่ละช่องรายการต่อไป
"เราต้องรอพิจารณาเงื่อนไขที่ทาง กสทช.สรุปออกมาก่อนจึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเข้าร่วมประมูลในช่องไหน ทั้งรายการข่าวหรือวาไรตี ไม่เพียงแต่เรื่องของราคาประมูลเท่านั้นที่ยังต้องรอผลสรุปที่แน่ชัด แต่ยังมีเรื่องของตัวเลขค่าโครงข่ายทั้งในระบบ HD และ SD ว่าจะออกมาเท่าไหร่ จากนั้นเราถึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเข้าร่วมประมูลในช่องรายการไหน"
ผศ.ดร.ทัณฑกานต์ ดวงรัตน์ คณบดีนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และนายกสมาคมวิชาการนิเทศศาสตร์และการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราคาที่ออกมาดังกล่าว เป็นราคาที่ลดลงจากการประเมินในครั้งแรก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นในแง่ของผู้ประกอบการ แต่อยากให้ผู้ประกอบการชะลอการประมูล อย่าคิดเพียงแค่อยากได้ช่องทีวีมาไว้ครอบครอง เพราะครั้งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของต้นทุน และจะมีการลงทุนอื่นๆตามมาทั้งค่าโครงข่าย,คอนเทนต์ , ค่าจ้างบุคลากร เป็นต้น
อีกทั้งอยากให้คำนึงถึงสื่อทีวีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แม้ปัจจุบันยังคงเป็นสื่อกระแสหลัก แต่เมื่อเกิดช่องจำนวนมากขึ้น สื่อดังกล่าวก็จะถูกลดบทบาทลงไป และกลายเป็นสื่อกระแสรองได้ในอนาคต เพราะปัจจุบันสื่อออนไลน์เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และต่อไปจะกลายเป็นสื่อกระแสหลักในอีก 3-4 ปี ขณะเดียวกันมองว่าการเพิ่มราคาตั้งต้นการประมูลช่องรายการสำหรับเด็กมากขึ้นจากเดิมนั้นไม่เป็นธรรม เนื่องจากกลุ่มนี้เคยถูกลดช่องแล้วก็ไม่ควรเพิ่มราคาอีกทั้งช่องนี้ยังมีสปอนเซอร์เข้ามาน้อย
______________________________________
ประมูลทีวีดิจิตอลรับได้ราคาเริ่มต้น
ผู้ประกอบการ "รับได้" กำหนดราคาเริ่มต้นประมูลทีวีดิจิตอล ร้องกสทช. ขอความชัดเจนเรื่องโครงข่ายทีวีดิจิตอลชี้เป็นต้นทุนรวม หวั่นสูงเกินไปจะได้ไม่คุ้มเสีย หลัง กสท. เคาะราคา 24 ช่อง มูลค่าทะลุ 1.5 หมื่นล้านบาทพร้อมยื่นเข้าบอร์ด กสทช. สัปดาห์หน้า ขณะที่คูปองซื้อโทรทัศน์หรือกล่องรับสัญญาณ 690 บาท ยังหาข้อสรุปไม่ได้
จากมติที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ซึ่งมีพ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นประธาน เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา เห็นชอบกำหนดราคาเริ่มต้นการประมูลทีวีดิจิตอลรวม 24 ช่อง โดยมีราคาเริ่มต้นประมูลเท่ากับราคาขั้นต่ำ ประกอบไปด้วย ช่องรายการทั่วไป (วาไรตี) ระบบความชัดมาตรฐาน (standard definition : SD) จำนวน 7 ช่อง ราคา 380 ล้านบาทต่อช่องรายการ , ช่องรายการทั่วไป (วาไรตี) ระบบความคมชัดสูง (high definition : HD) จำนวน 7 ช่อง ราคา 1,510 ล้านบาทต่อช่องรายการ , ช่องรายการข่าว จำนวน 7 ช่อง ราคา 220 ล้านบาทต่อช่องรายการ และช่องรายการสำหรับเด็กและเยาวชน จำนวน 3 ช่อง ราคา 140 ล้านบาทต่อช่องรายการ คิดเป็นเงินรวม 15,190 ล้านบาท โดยขั้นตอนต่อไปจะนำราคาดังกล่าวไปประกาศหลักเกณฑ์การประมูล และนำเข้าไปสู่ที่ประชุมกสทช. ก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการประชาพิจารณ์เป็นลำดับถัดไป เพื่อให้สามารถเปิดประมูลทีวีดิจิตอลได้ภายในเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้
โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นที่เฝ้าจับตามองของผู้ประกอบการที่สนใจจะเข้าร่วมการประมูลจำนวนมาก ซึ่งนายชลากรณ์ ปัญญาโฉม ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์การตลาด บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่ด้านวงการบันเทิง ที่ประกาศตัวร่วมประมูลทีวีดิจิตอล เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากราคาเริ่มต้นการประมูลทีวีดิจิตอลที่ออกมาล่าสุด ไม่ค่อยประหลาดใจเท่าไร เนื่องจากเป็นราคาใกล้เคียงกับที่บริษัทตั้งไว้ ซึ่งเดิมผู้ประกอบการต่างมองว่า ราคาจะต้องสูงมากแต่ปรากฏว่าราคาในรอบนี้กลับไม่สูงอย่างที่คิด บริษัทเชื่อว่าราคาตั้งต้นการประมูลดังกล่าวที่ออกมาจะส่งผลให้เกิดผู้ประกอบการเข้ามาแข่งขันกันมากขึ้น และบริษัทเตรียมงบประมาณที่จะสู้การแข่งขันประมูลครั้งนี้ไว้แล้ว
โดยบริษัทจะเข้าร่วมประมูลจำนวน 2 ช่อง คือ ช่องรายการสำหรับเด็ก เยาวชนและครอบครัว และช่องทั่วไป (วาไรตี) ระบบ SD ซึ่งราคาดังกล่าวบริษัทอยากให้มองว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ราคาที่สิ้นสุดการประมูลเป็นเรื่องสำคัญกว่า นอกจากนี้บริษัทอยากให้มองไปถึงเรื่องราคาโครงข่ายที่ออกมา เพราะนั่นเป็นต้นทุนที่สำคัญมากกว่า การเข้าประมูลเพื่อขอรับใบอนุญาต
ปัจจุบันบริษัทได้เตรียมรับมือเต็มที่สำหรับการประมูลทีวีดิจิตอล พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมครอบคลุมทุกด้าน คือ เงินทุน บุคลากร และคอนเทนต์ โดยการเตรียมพร้อมด้านคอนเทนต์ซึ่งวางแผนการผลิตคอนเทนต์เอง 70% และซื้อคอนเทนต์รวมถึงจ้างผลิตอีก 30% ขณะที่ด้านบุคลากรในปีนี้บริษัทเตรียมหาคนที่มีฝีมือดีเพื่อรองรับการทำงานให้เพียงพอ พร้อมทั้งปรับรูปแบบการทำงานใหม่ให้ง่ายขึ้น และเตรียมสร้างสตูดิโอและออฟฟิศเพิ่ม บนที่ดินจำนวน 23 ไร่เศษด้วย
ด้านนายธนัท ตันอนุชิตติกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท การ์ตูนมีเดีย จำกัด ผู้บริหารลิขสิทธิ์การ์ตูนจากญี่ปุ่นและผู้บริหารสถานีช่องทีวีดาวเทียม "การ์ตูน คลับ" หนึ่งในผู้สนใจเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิตอลช่องรายการเด็ก กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า การกำหนดราคาเริ่มต้นประมูลทีวีดิจิตอลช่องรายการเด็กที่ 140 ล้านบาทต่อช่องรายการนั้น ถือว่ายอมรับได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และบริษัทพร้อมเข้าร่วมประมูลโดยมี 2 ทางเลือก คือ บริษัทเป็นผู้ประมูลแต่เพียงผู้เดียว หรือ ร่วมกับพันธมิตรในการประมูล เพราะเนื้อหาที่นำเสนอต้องมีความหลากหลายทั้ง การ์ตูน , สารคดีเด็ก , สร้างสรรค์ สาระให้กับสังคม เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เชื่อว่าผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิตอลพบและเป็นปัญหาคือ เรื่องของโครงข่ายทีวีดิจิตอลว่าจะมีอัตราค่าเช่าเท่าไร เพราะถือเป็นต้นทุนรวมที่ทุกบริษัทต้องนำมาคิดรวมกับราคาการประมูล และอีกปัญหาคือเรื่องของการจัดการให้ประชาชนสามารถดูทีวีดิจิตอลได้ ซึ่งแม้กสทช. จะมีแนวคิดในการแจกคูปองเงินสด เพื่อไปซื้อโทรทัศน์หรือกล่องรับสัญญาณ (Set Top Box) ในอัตรา 690 บาทต่อครัวเรือน แต่หากราคาโทรทัศน์หรือกล่องสูงมากเกินไป ประชาชนย่อมไม่อยากเสียเงินเพิ่ม เพราะคิดว่ามีฟรีทีวี และทีวีดาวเทียมจำนวน 278 ช่องให้ดูแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดูทีวีดิจิตอลก็ได้
"ที่ผ่านมากสทช. ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของโครงข่ายว่าจะให้ใช้โครงข่ายใคร คิดค่าเช่าอย่างไร แต่ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะถือเป็นต้นทุนที่จะต้องนำมาศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุน เช่น หากค่าเช่าโครงข่าย 5 ล้านบาทต่อเดือน คิดเป็น 60 ล้านบาทต่อปี หาก 15 ปี จะต้องมีค่าใช้จ่าย 900 ล้านบาท เมื่อนำมารวมกับเงินที่ต้องใช้ประมูล ผู้ประกอบการจะลงทุนไหวหรือไม่"
ขณะที่นายฉัตรชัย ตะวันธรงค์ บรรณาธิการบริหาร บริษัท เทรน วีจี3 จำกัด ผู้พัฒนาเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ หนึ่งในผู้สนใจเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิตอล กล่าวว่า ราคาประมูลจะสูงหรือต่ำนั้นไม่ใช่สิ่งที่กังวล แต่ปัจจัยหลักที่ผู้ประกอบการแต่ละรายรวมถึงบริษัทนำมาใช้ในการตัดสินใจเลือกประมูลทีวีดิจิตอลในช่องไหนนั้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข ความชัดเจนจาก กสทช.ที่จะออกมารองรับ เบื้องต้นบริษัทมีความสนใจที่จะประมูล 1 ช่องของทีวีดิจิตอลอยู่แล้ว ส่วนจะเป็นช่องวาไรตีหรือช่องข่าวนั้น คงต้องรอดูหลังจากที่ กสทช.ประกาศข้อกำหนดและเงื่อนไขของแต่ละช่องรายการต่อไป
"เราต้องรอพิจารณาเงื่อนไขที่ทาง กสทช.สรุปออกมาก่อนจึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเข้าร่วมประมูลในช่องไหน ทั้งรายการข่าวหรือวาไรตี ไม่เพียงแต่เรื่องของราคาประมูลเท่านั้นที่ยังต้องรอผลสรุปที่แน่ชัด แต่ยังมีเรื่องของตัวเลขค่าโครงข่ายทั้งในระบบ HD และ SD ว่าจะออกมาเท่าไหร่ จากนั้นเราถึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะเข้าร่วมประมูลในช่องรายการไหน"
ผศ.ดร.ทัณฑกานต์ ดวงรัตน์ คณบดีนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และนายกสมาคมวิชาการนิเทศศาสตร์และการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ราคาที่ออกมาดังกล่าว เป็นราคาที่ลดลงจากการประเมินในครั้งแรก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแข่งขันเพิ่มมากขึ้นในแง่ของผู้ประกอบการ แต่อยากให้ผู้ประกอบการชะลอการประมูล อย่าคิดเพียงแค่อยากได้ช่องทีวีมาไว้ครอบครอง เพราะครั้งนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของต้นทุน และจะมีการลงทุนอื่นๆตามมาทั้งค่าโครงข่าย,คอนเทนต์ , ค่าจ้างบุคลากร เป็นต้น
อีกทั้งอยากให้คำนึงถึงสื่อทีวีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แม้ปัจจุบันยังคงเป็นสื่อกระแสหลัก แต่เมื่อเกิดช่องจำนวนมากขึ้น สื่อดังกล่าวก็จะถูกลดบทบาทลงไป และกลายเป็นสื่อกระแสรองได้ในอนาคต เพราะปัจจุบันสื่อออนไลน์เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น และต่อไปจะกลายเป็นสื่อกระแสหลักในอีก 3-4 ปี ขณะเดียวกันมองว่าการเพิ่มราคาตั้งต้นการประมูลช่องรายการสำหรับเด็กมากขึ้นจากเดิมนั้นไม่เป็นธรรม เนื่องจากกลุ่มนี้เคยถูกลดช่องแล้วก็ไม่ควรเพิ่มราคาอีกทั้งช่องนี้ยังมีสปอนเซอร์เข้ามาน้อย
ด้าน พ.อ.นที กล่าวว่า ราคาที่กำหนดดังกล่าวเป็นราคาที่กสท.ยอมรับได้ และเป็นราคาที่ปรับให้ตัวเลขลงตัว ส่วนราคาจริงจะเป็นเท่าไรนั้นคงขึ้นอยู่กับภาวะการแข่งขัน โดยหลังจากนี้จะนำราคาไปประกาศตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ และนำเสนออัตราที่ผู้ร่วมประมูลจะต้องเคาะราคาทุกครั้ง ซึ่งช่องเด็ก เริ่มต้นครั้งละ 1 ล้านบาท ช่องข่าวเคาะครั้งละ 2 ล้านบาท ช่องวาไรตี เคาะครั้งละ 5 ล้านบาท และช่อง HD เคาะครั้งละ 10 ล้านบาท โดยจะนำเสนอให้กสทช. พิจารณาในสัปดาห์หน้าด้วย
ส่วนกรณีการให้ใบอนุญาตโครงข่ายซึ่งผู้ประกอบการหลายรายสนใจและเป็นกังวลว่าจะส่งผลให้ต้องใช้เงินลงทุนสูงนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการคาดว่ารายละเอียดจะแล้วเสร็จภายในช่วงเดือนพ.ค. – มิ.ย. นี้ ซึ่งเชื่อว่าผู้ประกอบการรายเดิมมีความสนใจที่จะลงทุนโครงข่ายอยู่แล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด แต่มูลค่าของโครงข่ายจะเป็นเท่าไรนั้นยังไม่สามารถระบุได้
"หากหลักเกณฑ์และราคาประมูลผ่านการพิจารณาเห็นชอบของกสทช.ในสัปดาห์หน้า การประมูลก็จะเริ่มต้นได้เร็วสุดในเดือนส.ค. – ก.ย. นี้ แต่หากไม่ผ่านการเริ่มต้นประมูลต้องล่าช้าไปอีก 1 เดือน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้ การให้บริการในระบบทีวีดิจิตอลจะครอบคลุมราว 20-30% ของจำนวนครัวเรือน"
สำหรับเงินสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากระบบอะนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอลนั้น โดยหลักการจะนำเงินที่ได้จากการประมูลทั้งหมดมาหารจำนวน 22 ล้านครัวเรือน ซึ่งจะเท่ากับประมาณ 690 บาท ที่จะนำมาใช้เป็นมูลค่าคูปองแจกให้กับประชาชน เพื่อไปใช้ซื้อโทรทัศน์หรือกล่องรับสัญญาณ (Set Top Box) ซึ่งมูลค่าดังกล่าวอาจจะยังไม่เพียงพอ แต่ในเบื้องต้นยังไม่มีการพิจารณาว่าจะดำเนินการอะไรเพิ่มเติม เพราะจะต้องรอให้ถึงกระบวนการที่มีเงินสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวก่อน ซึ่งอาจจะให้เงินสนับสนุนเพิ่มเติมภายหลัง
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=181938:2013-05-08-02-48-27&catid=85:2009-02-08-11-22-45&Itemid=417
ไม่มีความคิดเห็น: