21 กันยายน 2559 AIS เริ่มนการนำซิมการ์ดที่ใช้เทคโนโลยีกุญแจสาธารณะ หรือ SIMPKI (Public Key Infrastructure) มาทดสอบ เพื่อป้องกันความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านทางสมาร์ทโฟนโดยทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม หรือมีการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ระบบจะทำการแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้สมาร์ทโฟนทุกครั้ง ซึ่งในอนาคตสามารถต่อยอดใส่เทคโนโลยีลายเซ็น อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปเพื่อเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
ประเด็นหลัก
นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือเอ็ตด้า กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้เอ็ตด้ากำลังอยู่ระหว่างการร่วมมือบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือ เอไอเอสในการนำซิมการ์ดที่ใช้เทคโนโลยีกุญแจสาธารณะ หรือ SIMPKI (Public Key Infrastructure) มาทดสอบ เพื่อป้องกันความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านทางสมาร์ทโฟนโดยทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม หรือมีการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ระบบจะทำการแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้สมาร์ทโฟนทุกครั้ง ซึ่งในอนาคตสามารถต่อยอดใส่เทคโนโลยีลายเซ็น อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปเพื่อเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
“สาเหตุที่เลือกทำกับเอไอเอสเพราะมีความแอกทีฟมากสุดคาดว่าผลการทดสอบจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ก่อนเปิดใช้ต้นปีหน้า ซึ่งภายหลังทดลองกับเอไอเอสเรียบร้อยโอเปอเรเตอร์รายอื่นก็สามารถนำ SIM PKI ไปใช้งานได้ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้บริการพร้อมเพย์”
________________________________________
โดย ฐานเศรษฐกิจ - 16 September 2559248
เอไอเอสนำร่องทดสอบSIMPKI เพิ่มความปลอดภัยผ่านสมาร์ทโฟน/เล็งใช้ต้นปีหน้า ฟื้นเชื่อมั่นพร้อมเพย์
4 องค์กร ผนึกพลังหวังฟื้นความเชื่อมั่น วาง 5 แนวทางป้องกัน ส่งเสริมธุรกรรมการเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ หลังมิจฉาชีพหลอกข้อมูล ดูดเงินลูกค้าโมบายแบงกิ้ง ด้าน “ธปท.-สมาคมแบงก์ไทย” เร่งทำงานเชิงรุกจับธุรกรรมผิดปกติ ส่วน “กสทช.” เตรียมดึงระบบสแกนนิ้วมือยืนยันตัวตนมาใช้ ฟาก “ทีซีที” รับปากทำงานรัดกุมหลังได้ข้อมูลพร้อมเพย์
5 แนวทางเรียกความเชื่อมั่น "โมบายแบงค์กิ้ง"
5 แนวทางเรียกความเชื่อมั่น “โมบายแบงค์กิ้ง”
นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ.) และในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย (TBA) เปิดเผยถึงประเด็นการเรียกความเชื่อมั่นของการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้ที่ลงทะเบียนพร้อมเพย์ (PromptPay) ในส่วนมาตรการระยะสั้นตามที่มีการหารือร่วมกันทั้ง 5 ข้อแล้ว ซึ่งเป็นแนวทางการป้องกันและสร้างความเชื่อมั่น ส่วนมาตรการระยะยาว จะเห็นว่าในส่วนของสำนักงาน กสทช. จะเป็นเรื่องนำเทคโนโลยีสแกนนิ้วมือมาใช้ ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อเครื่องดังกล่าว
โดยในส่วนของธนาคารพาณิชย์ภายใต้การกำกับดูแล จะเป็นเรื่องที่เน้นด้านความปลอดภัย ซึ่งจะมีการเข้าไปดูแลระบบป้องกันและพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และทำให้ประชาชนมีความสะดวกมากขึ้น เพราะหลังเกิดกรณีมิจฉาชีพฉวยโอกาสหลอกข้อมูลและดูดเงินของลูกค้าที่ผ่านมา ทำให้เรื่องความสะดวกสบายในการทำธุรกรรมการเงินของประชาชนหายไป ดังนั้น ธนาคารจะต้องหาวิธีการมาปรับใช้แต่จะต้องมีความปลอดภัยด้วย ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและลูกค้ามีความเข้าใจมากขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์แล้วทั้งสิ้น 15 ล้านบัญชี แบ่งเป็นลงทะเบียนผ่านหมายเลขโทรศัพท์จำนวน 3 ล้านราย และลงทะเบียนผ่านบัตรประจำตัวประชาชนจำนวน 12-13 ล้านราย โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นของธนาคารกสิกรไทยจำนวนประมาณ 3-4 ล้านราย ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ภายในสิ้นปีจะอยู่ที่ 30 ล้านราย ซึ่งยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยหลังจากนี้ธนาคารและสมาคมธนาคารไทยจะมีการทำแผนประชาสัมพันธ์มากขึ้น เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจและเข้ามาลงทะเบียน เพราะคนที่ยังไม่เข้ามาลงทะเบียน เนื่องจากยังไม่มั่นใจและยังเข้าใจผิดในเรื่องของการใช้เบอร์โทรศัพท์โอนเงิน แต่ความจริงเป็นการรับเงิน ซึ่งไม่มีใครสามารถเอาเงินออกไปได้ ซึ่งเรื่องนี้จึงต้องทำแผนประชาสัมพันธ์มากขึ้น
“เรื่องที่เกิดขึ้นที่มีความเสียหาย จะเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบพร้อมเพย์ หรืออินเตอร์เน็ตแบงกิ้ง แต่เกิดจากความไม่เข้าใจและความไม่รู้ของผู้ใช้บริการที่ถูกหลอก ดังนั้น การร่วมมือของ 4 หน่วยงาน จะเป็นแนวทางป้องกันและช่วยลดเคสที่จะเกิดความเสียหายได้ เพราะเรื่องที่ไทยกำลังจะเดินเป็นเรื่องที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ และเป็นนโยบายที่ภาครัฐต้องการส่งเสริม เพื่อให้ประชาชนเกิดประโยชน์สูงสูด นอกจากเรื่องค่าธรรมเนียมที่ถูกแล้ว เรื่องที่สำคัญมาก คือ การสร้างความรู้ความเข้าใจของประชาชน ซึ่งเป็นแผนระยะยาวที่จะต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์”
ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ภายหลังจากสำนักงานกสทช.ได้ร่วมหารือกับสมาคมธนาคารไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (TCT) ในการหาข้อสรุปแนวทางการป้องกันและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้บริการธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งได้ข้อสรุปเป็นมาตรการระยะสั้นหลักๆ มีอยู่ 5 เรื่องด้วยกัน(ดูตารางประกอบ)
“เราจะมีการเชื่อมข้อมูลของผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ไปให้โทรคมนาคม เพื่อเป็นฐานข้อมูล หากกรณีจะมีการออกซิมการ์ดใหม่ จะต้องมีการแจ้งไปยังธนาคารที่ใช้บริการด้วย เพื่อยืนยันตัวตน ซึ่งอาจจะใช้เวลานานกว่าผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียน เช่น เดิมใช้เวลา 3 วัน อาจจะเป็น 4 วัน เช่นเดียวกับกรณีที่ทำโทรศัพท์หายก็ต้องแจ้งด้วยเช่นกัน ซึ่งมาตรการเหล่านี้ไม่ใช่วัวหายแล้วล้อมคอก แต่เป็นการพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น จึงขอยืนยันว่าระบบมีความปลอดภัย ซึ่งมาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการระยะสั้นในช่วงนี้ และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีมาตรการระยะยาว โดยการนำระบบสแกนนิ้วมือมาใช้ ตอนนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง แต่ระบบสแกนนิ้วมือที่จะนำมาใช้ไม่ได้เป็นการบังคับแต่อย่างใด ใครที่ต้องการใช้ก็เข้ามาใช้ หากไม่ต้องการใช้ก็ไม่ได้มีการบังคับ”
ส่วนด้านนายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันการเข้ามาของมิจฉาชีพในการโจรกรรมข้อมูลหรือหลอกลวงประชาชนมีหลายรูปแบบมากขึ้น ซึ่งธปท.และสมาคมธนาคารไทยได้ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องในการส่งข้อมูลระหว่างกัน และธปท.มีทีมงานที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการทำงานเชิงรุกมากขึ้นควบคู่กับมาตรการระยะสั้นที่ออกมาร่วมกัน โดยทีมงานดังกล่าวจะมีการตรวจสอบการทำงานของระบบเทคโนโลยี เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และหาแนวทางการป้องกันต่อไป
ทางนายศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวเสริมว่า ภายหลังจากมีข้อตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกัน จะช่วยให้ระบบมีความปลอดภัยมากขึ้น และการเปลี่ยนโอนย้ายเบอร์โทรศัพท์ หรือการขอซิมการ์ดใหม่มีความรัดกุมมากขึ้น เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่มีข้อมูลซึ่งกันและกัน ทำให้การทำงานไม่ได้มีความเข้าใจในการเกี่ยวเนื่องของเบอร์โทรศัพท์กับธุรกรรมการเงินมากนัก แต่เชื่อว่าหลังจากมีการเชื่อมข้อมูลกัน จะทำให้ระบบมีความรัดกุมและปลอดภัยเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของผู้ที่ลงทะเบียนซิมการ์ดแบบรายเดือนและแบบเติมเงิน ขณะเดียวกันหากสำนักงาน กสทช.มีการนำระบบสแกนนิ้วมือมาใช้ ยิ่งจะทำให้ระบบการเงินมีมาตรฐานเท่าเทียมสากลได้
นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือเอ็ตด้า กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้เอ็ตด้ากำลังอยู่ระหว่างการร่วมมือบริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือ เอไอเอสในการนำซิมการ์ดที่ใช้เทคโนโลยีกุญแจสาธารณะ หรือ SIMPKI (Public Key Infrastructure) มาทดสอบ เพื่อป้องกันความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านทางสมาร์ทโฟนโดยทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม หรือมีการเปลี่ยนแปลงการทำธุรกรรมเกิดขึ้น ระบบจะทำการแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้สมาร์ทโฟนทุกครั้ง ซึ่งในอนาคตสามารถต่อยอดใส่เทคโนโลยีลายเซ็น อิเล็กทรอนิกส์เข้าไปเพื่อเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
“สาเหตุที่เลือกทำกับเอไอเอสเพราะมีความแอกทีฟมากสุดคาดว่าผลการทดสอบจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ ก่อนเปิดใช้ต้นปีหน้า ซึ่งภายหลังทดลองกับเอไอเอสเรียบร้อยโอเปอเรเตอร์รายอื่นก็สามารถนำ SIM PKI ไปใช้งานได้ซึ่งจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในการใช้บริการพร้อมเพย์”
http://www.thansettakij.com/2016/09/16/97487
ไม่มีความคิดเห็น: