Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

23 เมษายน 2555 ( เกาะติด อนุป.ป.ช. ฟัน CAT-TRUE )วงในชี้ชัด+CATขาดทุนยับแถมสิทธิตัววัดคุณภาพได้และเซลไซต์ก็ไม่มีสิทธิรู้

( เกาะติด อนุป.ป.ช. ฟัน CAT-TRUE )วงในชี้ชัด+CATขาดทุนยับแถมสิทธิตัววัดคุณภาพได้และเซลไซต์ก็ไม่มีสิทธิรู้


ประเด็นหลัก

แหล่งข่าวใน กสท กล่าวว่า ตอนนี้ความเห็นพนักงานแตกออกเป็น 2 ฝ่ายแล้ว เพราะมีพนักงานจำนวนมากที่รับรู้ข้อมูลที่ถูกปกปิดจากผู้บริหารและสหภาพฯบาง ส่วน ที่ทำให้เห็นความเสียหายของกสทจากการทำสัญญาดังกล่าว และเกิดความไม่พอใจอย่างมาก เพราะยิ่งนานวันขยะที่ถูกซุกใต้พรมยิ่งฟุ้งกระจายส่งกลิ่น จากที่ผู้บริหารเคยป่าวร้องว่า กสท จะมีรายได้นับแสนล้านบาท


1.กสท ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบผ่านระบบ NOC ของ กสท ทำให้ไม่มีข้อมูลชี้วัดคุณภาพเพื่อประเมินคุณภาพของการให้บริการ การคำนวณค่าเช่าและการบริหารจัดการคาปาซิตีของ BFKT ได้

2.กสทไม่ สามารถตรวจสอบจำนวนเซลไซต์ที่เปิดให้บริการ จากระบบ NOC ของ กสท และไม่สามารถตรวจสอบและบริหารจัดการเครือข่ายเพื่อรายงานคุณภาพได้ตามที่ กสทช.กำหนด ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของรายงานที่ BFKT ส่งมาได้ ส่งผลต่อรายได้และรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามสัญญา

3. การที่ BFKT ระบุในสัญญาว่า ‘บริษัทต้องเชื่อมต่อระบบที่บริษัทบริหารจัดการกับระบบที่ กสท จัดหาเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันและให้บริการได้’ และ ‘บริษัทต้องดำเนินการให้โครงข่ายของ กสท ในส่วนของเครื่องและอุปกรณ์ที่ให้เช่ามีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดและมาตรฐาน การทำงานของโครงข่ายตลอดเวลานับแต่เริ่มให้บริการ’



________________________________________________________

ลุ้นผลสอบ ป.ป.ช.สัญญาทรู-กสท


อนุ ป.ช.ช.ชี้ชะตาสัญญา 3G กลุ่มทรู-กสท ‘เมธี’ ยันต้องได้ข้อสรุปหรือไม่ก็ต้องพิจารณาตัวเอง ด้านพนักงานกสทตั้งความหวัง ป.ป.ช.ช่วยปกป้องสมบัติชาติ หลังนานวันยิ่งปรากฏชัดผู้บริหารปกปิดข้อมูล พ่วงผลสอบก่อนหน้าทั้งกรรมาธิการวุฒิสภาชี้ผิด 3 ประเด็น ไอซีทีพบพิรุธ 5 เรื่อง

นายเมธี ครองแก้ว กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนสัญญาการให้บริการโทรศัพท์มือถือรูปแบบใหม่ 3G HSPA ของบริษัท กสท โทรคมนาคม กับกลุ่มทรู กล่าวว่าในการประชุมอนุกรรมการ ป.ป.ช.ในวันที่ 23 เม.ย.นี้ สมควรจะได้ผลสรุปออกมา ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ความเห็นกรรมการทั้ง 7 คนจะออกมาได้ 2 แนวทาง คือ กล่าวหาว่ามีความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วให้ผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้ใน กระบวนการต่อไป กับแนวทางที่เห็นว่าทุกอย่างถูกต้อง โดยทั้งหมดต้องมีเหตุผลสนับสนุนที่ชัดเจน

‘ผมคิดว่าควรจะต้องได้ผลสรุปเพราะยืดเยื้อมานานแล้ว ซึ่งการพิจารณาก็ได้นำผลสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงไอซีทีมาประกอบด้วย หากอนุกรรมการยังไม่ได้ข้อสรุป ก็อาจต้องมีการพิจารณาตัวเองแล้ว’

แหล่งข่าวใน กสท กล่าวว่า ตอนนี้ความเห็นพนักงานแตกออกเป็น 2 ฝ่ายแล้ว เพราะมีพนักงานจำนวนมากที่รับรู้ข้อมูลที่ถูกปกปิดจากผู้บริหารและสหภาพฯบาง ส่วน ที่ทำให้เห็นความเสียหายของกสทจากการทำสัญญาดังกล่าว และเกิดความไม่พอใจอย่างมาก เพราะยิ่งนานวันขยะที่ถูกซุกใต้พรมยิ่งฟุ้งกระจายส่งกลิ่น จากที่ผู้บริหารเคยป่าวร้องว่า กสท จะมีรายได้นับแสนล้านบาท

แต่โดยข้อเท็จจริง กสท จะขาดทุนกว่า 6 พันล้านบาท กล่าวคือ 1. สัญญา 14 ปี จำนวน 9,948 สถานีฐาน จำนวนลูกค้า 21.98 ล้านราย 2. รายรับที่ กสท จะได้จากการขายส่งบริการจากเรียลมูฟ 170,552 ล้านบาท 3. รายจ่ายที่ กสท จ่ายเป็นค่าเช่าโครงข่ายให้ BFKT จำนวน 139,847 ล้านบาท 4. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมค่าธรรมเนียมคลื่นและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่ กสท ต้องจ่ายทั้งหมด 37,025 ล้านบาท ซึ่งเมื่อหักรายได้และรายจ่ายแล้ว กสท จะขาดทุนจากการเช่าโครงข่ายมาให้บริการขายส่งเป็นเงิน 6,320 ล้านบาท

ตัวเลขดังกล่าวได้จากข้อสมมติฐานการคำนวณตามหลักของสัญญา 14 ปี ซึ่งเห็นได้ชัดว่า กสท ขาดทุน 6,320 ล้านบาท การที่บอกว่า กสท จะได้กำไรเพราะกสทไม่ยอมเปิดเผยรายจ่ายจริง ในขณะที่ฝั่งบริษัท เรียลมูฟ 1. จะมีรายได้จากการให้บริการลูกค้า 379,368 ล้านบาท 2. มีรายจ่ายเป็นค่าเช่าโครงข่ายให้ กสท เป็นเงิน 170,550 ล้านบาท และ 3. ค่าใช้จ่ายอื่นรวมค่าใช้จ่ายการขายและค่าดำเนินงาน 10,012 ล้านบาท หักแล้วเป็นกำไรจากการเช่าโครงข่ายมาให้บริการเป็นเงิน 198,803 ล้านบาท

นอกจากนี้ รายงานผลการตรวจสอบภายในของกสทเองยังพบความไม่ชอบมาพากลอีกหลายอย่างที่ทำ ให้เห็นว่า กสท ไม่มีอำนาจเข้ามาบริหารจัดการหรือกำกับดูแลคลื่นความถี่ 850 MHz ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่ขัดต่อมาตรา 46 ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 ที่ห้ามโอนสิทธิ์ในการครอบครองคลื่นให้บุคคลอื่น ที่ชัดเจนมากที่สุด อย่างเช่น

1.กสท ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบผ่านระบบ NOC ของ กสท ทำให้ไม่มีข้อมูลชี้วัดคุณภาพเพื่อประเมินคุณภาพของการให้บริการ การคำนวณค่าเช่าและการบริหารจัดการคาปาซิตีของ BFKT ได้ 2.กสทไม่สามารถตรวจสอบจำนวนเซลไซต์ที่เปิดให้บริการ จากระบบ NOC ของ กสท และไม่สามารถตรวจสอบและบริหารจัดการเครือข่ายเพื่อรายงานคุณภาพได้ตามที่ กสทช.กำหนด ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของรายงานที่ BFKT ส่งมาได้ ส่งผลต่อรายได้และรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามสัญญา

3. การที่ BFKT ระบุในสัญญาว่า ‘บริษัทต้องเชื่อมต่อระบบที่บริษัทบริหารจัดการกับระบบที่ กสท จัดหาเพื่อให้สามารถใช้งานร่วมกันและให้บริการได้’ และ ‘บริษัทต้องดำเนินการให้โครงข่ายของ กสท ในส่วนของเครื่องและอุปกรณ์ที่ให้เช่ามีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดและมาตรฐาน การทำงานของโครงข่ายตลอดเวลานับแต่เริ่มให้บริการ’

ในประเด็นนี้หมายความว่า ตลอดอายุสัญญานี้ กสท จะนำคลื่นความถี่มาใช้กับเครื่องและอุปกรณ์ของ BFKTเท่านั้น ซึ่งน่าสนใจว่า ทำไมเมื่อ กสท เช่าเครื่องอุปกรณ์ BFKTแล้ว ยังต้องถูกบังคับเช่นนั้นอีก เท่ากับ BFKT มีอำนาจเหนือ กสท แทนที่ กสท จะสามารถนำอุปกรณ์ที่เช่าไปใช้หรือสามารถบริหารความถี่ได้โดยอิสระ รวมทั้ง BFKT ก็ยังไม่ได้ใบอนุญาตประเภทที่ 3 จาก กสทช.ยิ่งทำให้มองได้ว่าขัดต่อกฎหมายด้วย

‘พนักงาน กสท ที่รักองค์กรและไม่เห็นด้วยกับสัญญาดังกล่าว ตั้งความหวังกับ ป.ป.ช.ไว้สูงมากว่าจะปกป้องสมบัติของชาติได้ หลังกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องทุจริตและเสริมสร้างธรรมภิบาลวุฒิสภาฟันธง ว่าสัญญาผิด 3 ประเด็น และผลสอบกระทรวงไอซีทีพบข้อพิรุธถึง 5 เรื่อง’

ASTV ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9550000050112

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.