20 พฤษภาคม 2556 TRUEVISION มั่นใจศึกแย่ลูกค้าคาดยอดสมาชิกเพิ่มอีก 100,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านครัวเรือน และจานขาด1.1 ล้านครัวเรือน // CTH พร้อมเปลี่ยนเซ็ท ท็อป บ็อกซ์ ใหม่ให้แก่ฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ประมาณ 2.5 ล้านราย
ประเด็นหลัก
โดยล่าสุดในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขันพรีเมียร์ลีก ทรูวิชั่นส์ยังได้จัดงาน “Visions Ahead Magenta Nigth Party” สร้างแรงบันดาลใจให้กับพันธมิตร พนักงาน และสมาชิก ยืนยันและยืนหยัดการให้บริการ ตอกย้ำความแข็งแกร่งให้กับทรูวิชั่นส์ ให้คำมั่นกับลูกค้าว่าจะไม่หยุดยั้งการสรรหาช่องรายการคุณภาพทั้งระดับประเทศและระดับโลก มานำเสนอให้กับสมาชิกอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งใจเจาะตลาดและเพิ่มบริการใหม่ๆให้กับลูกค้า
นั่นคือ 2 แพ็กเกจใหม่ ซึ่งนำรายการระดับโลกมาทำราคาให้เร้าใจมากขึ้น ได้แก่ แพ็กเกจซุปเปอร์โนว-เลจ เป็นแพ็กเกจที่เน้นช่องรายการสาระความรู้ที่เป็นประโยชน์ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพความรู้ด้านต่างๆ จำนวน 116 ช่อง นำโดย ช่อง Discovery Home&Health เจาะกลุ่มผู้หญิง ช่อง Discovery Turbo เจาะกลุ่มคนรักยานยนต์ ช่อง TCL เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร ช่อง BBC Lifestyle จากเกาะอังกฤษ เป็นต้น
และแพ็กเกจซุปเปอร์ สปอร์ต ที่มีรายการกีฬา ทั้งระดับโลก ระดับประเทศ รวม 95 ช่อง ทั้งช่องสยามกีฬา สตาร์ซอคเกอร์ทีวี รวมถึงฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก, มวย, ฟุตบอลกัลโช ซีรี เอ ซึ่งจะเน้นรายการถ่ายทอดสด ที่เพิ่มอรรถรสความบันเทิงด้วยระบบ HD ที่ภาพคมชัดความละเอียดสูง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
โดยการเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ดังกล่าว ทรูวิชั่นส์เชื่อว่าจะสามารถกวาดฐานลูกค้าในวงกว้าง (Mass) ได้มากขึ้น
คาดว่ายอดสมาชิกเพิ่มอีก 100,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านครัวเรือน โดยแบ่งเป็นสมาชิกรายเดือน 900,000 ครัวเรือน ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าจานดาวเทียมซื้อขาดจำนวน 1.1 ล้านครัวเรือน
ทำให้ในปีนี้ แม้ไม่มีพรีเมียร์ลีก เราก็ยังมั่นใจว่าจะทำอัตราเติบโตของรายได้ทั้งปีที่ 8–9% ได้สำเร็จ จากปีที่ผ่านมา ที่มียอดรายได้รวม 10,667 ล้านบาท”.
CTH
ในส่วนของการเตรียมพร้อมออกอากาศและการติดตั้งเซ็ท ท็อป บ็อกซ์ (set top box) รวมทั้งดาวเทียม ให้แก่ลูกค้าทั่วไปนั้น ยอมรับว่าแผนพลาดเป้าไปพอสมควร แต่ที่สุดแล้ว ซีทีเอชจะใช้เวลาในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ เดินหน้าติดตั้งบริการให้เต็มที่ ทั้งการเปลี่ยนเซ็ท ท็อป บ็อกซ์ ใหม่ให้แก่ฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ประมาณ 2.5 ล้านราย รวมทั้งลูกค้าใหม่ ซึ่งสามารถติดต่อตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) อย่างเป็นทางการของซีทีเอช 170 รายทั่วประเทศได้
“ขณะนี้เครือข่ายไฟเบอร์ออพติกของเราพร้อมแล้วในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยล่าสุดขยับงบประมาณลงทุนเครือข่ายจาก 20,000 ล้านบาทเป็น 30,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ก็จะทยอยติดตั้งต่อเนื่อง ภายในปีนี้น่าจะให้บริการได้ครอบคุลมหัวเมืองทุกจังหวัด อย่างไรก็ตามสำหรับในพื้นที่ที่เครือข่ายไฟเบอร์ออพติกยังเข้าไม่ถึง เราจำเป็นต้องให้บริการผ่านดาวเทียมไปก่อน”
ในส่วนของราคาแพ็กเกจของซีทีเอช ที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่หลักการของซีทีเอชยังคงเดิม นั่นคือลูกค้าของซีทีเอชจะได้ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในราคาที่ต่ำลงกว่าเดิม จากที่เคยต้องจ่ายอยู่ที่เดือนละ 1,600 บาทก่อนหน้านี้
______________________________________
สมรภูมิเคเบิลทีวีแข่งเดือด
กฤษณัน งามผาติพงศ์ - อาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา
ทันใดที่การแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษปิดฤดูกาลลง ปี่กลองแห่งการแข่งขันในศึกเคเบิลทีวีระหว่างบริษัททรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) กับบริษัทซีทีเอช จำกัด (มหาชน) ก็ดังระรัวขึ้นทันที
เพราะเมื่อ “คิง ออฟ คอนเท้นท์” อย่างลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ซึ่งเคยอยู่ในมือต้องหลุดไปอยู่ที่ซีทีเอช ไฉนเลยทรูวิชั่นส์จะนิ่งเฉยอยู่ได้
ขณะเดียวกัน ซีทีเอช ซึ่งทุ่มเงินไปกว่า 10,000 ล้านบาทในการประมูลแข่งขัน จนคว้าลิขสิทธิ์ฟุตบอลฤดูกาล 2013/14–2015/2016 มาครองได้สำเร็จ ก็เหลือเวลาอีกไม่มากนัก ในการเร่งทำตลาด ติดตั้งเครือข่ายรองรับการออกอากาศ รวมไปถึงการทยอยเซ็นสัญญากับสปอนเซอร์ อันถือเป็นช่องทางหนึ่งในการหารายได้ มาชดเชยกับค่าลิขสิทธิ์มหาศาล สร้างสถิติมูลค่าการประมูลสูงที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก ก่อนที่การแข่งขันฤดูกาลใหม่จะเริ่มขึ้นในเดือน ส.ค.นี้
นอกจากนั้น ล่าสุดซีทีเอช ยังฉกคอนเท้นท์กล่องดวงใจคอหนังจากฟ็อกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (FIC) ไปครองอีกถึง 24 ช่อง หนึ่งในนั้นคือช่อง star world ซึ่งมีรายการฮิตอย่างอเมริกัน ไอดอล ที่เคยออกอากาศบนทรูวิชั่นส์อยู่เป็นเวลานาน ทำให้สัมพันธภาพระหว่างฟ็อกซ์และทรูวิชั่นส์ซึ่งดำเนินมากว่า 20 ปี อาจกำลังต้องจบลง แม้ว่าทรูวิชั่นส์ยังได้สิทธิออกอากาศช่องรายการฟ็อกซ์อยู่อีก 2 ช่องก็ตาม
ทั้งหมด ยังไม่นับคอนเท้นท์ด้านกีฬา ซึ่งซีทีเอชกำลังเดินหน้าไล่ล่าเพิ่มเติม ทั้งกีฬาเทนนิสและกอล์ฟ ซึ่งคาดว่า ณ สิ้นปีนี้จะมีการประกาศเซ็นสัญญาซื้อคอนเท้นท์กีฬาครั้งใหญ่อีกรอบ
สัปดาห์ที่ผ่านมา โค้งสุดท้ายแห่งฤดูกาลแข่งขันพรีเมียร์ลีก จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของศึกนัดสำคัญระหว่างเคเบิลทีวียักษ์ 2 รายใหญ่ เริ่มตั้งแต่ทั้ง 2 รายจัดแถลงข่าววันเดียวกัน ทรูวิชั่นส์เปิดตัว 2 แพ็กเกจใหม่ ส่วนซีทีเอชประกาศรีแบรนด์
ประเมินศึกนัดแรก ทรูวิชั่นส์ดูเหมือนจะมีความพร้อมเพราะเก๋าเกมกว่า เดินหน้าจัดแพ็กเกจใหม่ หวังดึงดูดใจลูกค้าฐานกว้าง (Mass) มากขึ้น ด้วยคอนเท้นท์ระดับพรีเมียมในมือ ที่ยังเหลืออีกเป็นกระตัก
ขณะที่ซีทีเอชยังดูขลุกขลัก โดยเฉพาะการเร่งติดตั้งเครือข่ายให้บริการผ่านดีลเลอร์ ซึ่งมีปัญหา ‘จัดระเบียบแถวตรง‘ ยังไม่สำเร็จ เหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือนข้างหน้า จึงยังไม่รู้ว่าจะสร้างความมั่นใจให้ลูกค้าได้แค่ไหน
กระนั้น ในมุมของผู้บริโภค “ทีมเศรษฐกิจ” มั่นใจว่าการแข่งขันที่รุนแรงระหว่าง 2 เคเบิลทีวียักษ์ใหญ่นับจากนี้ จะช่วยสร้างสีสันและที่สำคัญ นำไปสู่บริการที่มีคุณภาพในราคาที่สมเหตุสมผลขึ้นอย่างแน่นอน ประโยชน์ทั้งหมด จึงจะตกอยู่กับผู้บริโภคอย่างไม่ต้องสงสัย
กฤษณัน งามผาติพงศ์
ประธานกรรมการบริหาร
บริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน)
หลังพรีเมียร์ลีกฤดูกาลล่าสุดปิดตัวลง ซีทีเอชก็สามารถเดินหน้าทำตลาดได้อย่างจริงจังเสียที เพราะก่อนหน้านี้ลิขสิทธิ์อยู่ในมือทรูวิชั่นส์ เราก็ควรต้องให้เกียรติเจ้าของเดิม
มาถึงวันนี้ การแข่งขันปิดฤดูกาลไปแล้ว เราจึงเดินหน้าแคมเปญการตลาดได้ทันที เริ่มจากการเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นซีทีเอช จากเดิมที่ใช้ชื่อเคเบิล ไทย โฮลดิ้งส์ และชื่อซีทีเอช เป็นชื่อย่อ
นอกจากนั้นยังเปลี่ยนโฉมแบรนด์ใหม่ จากโลโก้เดิมที่ดูน่ารัก แต่ดูเป็นเคเบิลทีวีท้องถิ่น ปรับให้มีความทันสมัยมากขึ้น รองรับการออกสู่ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเป้าหมายในระยะยาวของซีทีเอช
สีฟ้าที่เลือกใช้สำหรับโลโก้ใหม่ เป็นสีฟ้าเทอร์คอยซ์ สีของไฟเบอร์ออพติก ซึ่งเป็นเครือข่ายหลักที่ซีทีเอชใช้ให้บริการ เพราะในระยะต่อไป ซีทีเอชมีแผนขยายธุรกิจบริการบนไฟเบอร์ออพติกออกเป็น 7-8 ธุรกิจ
โดยมีเคเบิลทีวีเป็นหนึ่งในนั้น ที่เหลือได้แก่ ธุรกิจอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) ซึ่งมีเป้าหมายให้บริการบนความเร็วสูงสุด 1 Gbph, โฮมช็อปปิ้ง, โทรศัพท์บนอินเตอร์เน็ต (VoIP), สื่อดิจิตอล และธุรกิจวิจัยด้านการตลาด เป็นต้น
ซึ่งหากสามารถขับเคลื่อนธุรกิจทั้งหมดได้สำเร็จ รายได้ของซีทีเอชจะพุ่งแตะหลัก 100,000 ล้านบาทได้ในไม่เกิน 2 ปีข้างหน้า
ระหว่างนี้ นับต่อไปอีก 35 วัน ซึ่งเป็นวันที่ซีทีเอชจะเริ่มต้นออกอากาศอย่างเป็นทางการ ด้วยช่องรายการเต็มพิกัด 140 ช่องนั้น ซีทีเอชมีแผนเดินหน้าแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่องภายใต้งบประมาณกว่า 200 ล้านบาท
โดยปลายเดือนนี้ จะเปิดตัวสปอนเซอร์บอลพรีเมียร์ลีก ซึ่งถูกโจมตีมาโดยตลอดว่าสปอนเซอร์ไม่เข้า เพราะกำหนดราคาสูงไปและคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ยืนยันว่า ณ วันนี้ สปอนเซอร์หลักได้ครบแล้วและเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้วด้วย
ซีทีเอชยังมีแผนพาสื่อมวลชนไปร่วมทดสอบเครือข่ายการให้บริการ รวมทั้งการเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ที่ทุกคนรอคอย ในช่วงกลางเดือน มิ.ย. ก่อนการออกอากาศอย่างเป็นทางการ ซึ่งน่าจะอยู่ในช่วงวันที่ 20 มิ.ย. ที่จะถึง
ในส่วนของการเตรียมพร้อมออกอากาศและการติดตั้งเซ็ท ท็อป บ็อกซ์ (set top box) รวมทั้งดาวเทียม ให้แก่ลูกค้าทั่วไปนั้น ยอมรับว่าแผนพลาดเป้าไปพอสมควร แต่ที่สุดแล้ว ซีทีเอชจะใช้เวลาในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ เดินหน้าติดตั้งบริการให้เต็มที่ ทั้งการเปลี่ยนเซ็ท ท็อป บ็อกซ์ ใหม่ให้แก่ฐานลูกค้าเดิมที่มีอยู่ประมาณ 2.5 ล้านราย รวมทั้งลูกค้าใหม่ ซึ่งสามารถติดต่อตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์) อย่างเป็นทางการของซีทีเอช 170 รายทั่วประเทศได้
“ขณะนี้เครือข่ายไฟเบอร์ออพติกของเราพร้อมแล้วในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยล่าสุดขยับงบประมาณลงทุนเครือข่ายจาก 20,000 ล้านบาทเป็น 30,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี ส่วนในพื้นที่อื่นๆ ก็จะทยอยติดตั้งต่อเนื่อง ภายในปีนี้น่าจะให้บริการได้ครอบคุลมหัวเมืองทุกจังหวัด อย่างไรก็ตามสำหรับในพื้นที่ที่เครือข่ายไฟเบอร์ออพติกยังเข้าไม่ถึง เราจำเป็นต้องให้บริการผ่านดาวเทียมไปก่อน”
ในส่วนของราคาแพ็กเกจของซีทีเอช ที่ทุกคนกำลังรอคอยอยู่นั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่หลักการของซีทีเอชยังคงเดิม นั่นคือลูกค้าของซีทีเอชจะได้ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในราคาที่ต่ำลงกว่าเดิม จากที่เคยต้องจ่ายอยู่ที่เดือนละ 1,600 บาทก่อนหน้านี้
“ส่วนตัวผมเชื่อในแพ็กเกจราคาเดียว หากลูกค้าจะดูเพิ่มก็ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ขณะนี้แพ็กเกจยังไม่สมบูรณ์ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้ อย่างไรก็ตามหากที่สุดแล้วทำแพ็กเกจเดียวไม่ได้ เราก็จะยึดหลักทำแพ็กเกจให้เข้าใจง่าย มีแพ็กเกจหลักๆ อาจจะอยู่ระหว่าง 3-5 แพ็กเกจ และลูกค้าทุกแพ็กเกจจะได้ดูช่อง HD (ช่องที่ออกอากาศด้วยมาตรฐานความคมชัดสูง) ด้วย เพราะเราไม่เชื่อเรื่องการแบ่งฐานลูกค้าด้วยช่อง HD โดยสำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ เราจะออกอากาศด้วยระบบ HD ทั้งหมดทั้ง 380 แมตช์”
ปัจจุบันซีทีเอชให้บริการฐานสมาชิก 2.5 ล้านรายทั่วประเทศ ด้วยจำนวนช่องรายการทั้งสิ้น 134 ช่อง ในอัตราค่าบริการเดือนละ 399 บาท แต่หลังวันออกอากาศอย่างเป็นทางการ 20 มิ.ย. ซีทีเอชจะเพิ่มช่องรายการเป็น 140 ช่อง ในจำนวนดังกล่าวเป็นการออกอากาศผ่านระบบ HD จำนวน 30 ช่อง
โดยในช่วงการเปิดตัว เตรียมออกอากาศรับฤดูกาลหน้าของพรีเมียร์ลีก ซีทีเอชคาดหวังว่าจะมีฐานลูกค้าราว 1 ล้านราย รวมลูกค้าใหม่และฐานลูกค้าเดิมที่เปลี่ยนเซ็ทท็อปบ็อกซ์ และจะขยับขึ้นเป็น 3–3.5 ล้านรายภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มเป็น 7 ล้านรายในปีถัดไป เพราะเชื่อว่าฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีระยะเวลาการแข่งขันยาวนาน จะช่วยดึงลูกค้าเข้ามาในระบบได้ต่อเนื่อง อย่างน้อยกินเวลา 3 ปีตามอายุลิขสิทธิ์
ในส่วนของรายการนั้น เชื่อมั่นว่า ณ ขณะนี้ซีทีเอช มีคอนเท้นท์ที่ดีที่สุด ภายใต้งบประมาณ 3,000 ล้านบาทไม่รวมเงินประมูลลิขสิทธิ์บอลพรีเมียร์ลีก
ล่าสุดจับมือกับฟ็อกซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซื้อลิขสิทธิ์รายการมาให้บริการสมาชิก 29 ช่อง โดยช่วงแรกจะออกอากาศก่อน 15 ช่อง และขยายครบ 24 ช่องภายในสิ้นปี ทั้งรายการบันเทิง สารคดี ภาพยนตร์ เช่น ช่อง STAR World, ช่อง National Geographic รวมทั้งช่องรายการใหม่ๆที่ไม่เคยออกอากาศมาก่อนในประเทศไทย ได้แก่ FOX Action และ FOX Sports News
โดยซีทีเอชจะไม่หยุดยั้งอยู่เพียงเท่านี้ เพราะยังต้องการเดินหน้าซื้อคอนเท้นท์จากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนผู้ผลิตคอนเท้นท์ไทยที่มีคุณภาพและความสามารถ โดยมีเป้าหมายเปิดตลาดคอนเท้นท์คุณภาพของไทยออกสู่ตลาดโลกด้วย
ในส่วนของคอนเท้นท์กีฬา นอกจากจะได้ลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก มาครอบครองแล้ว ซีทีเอชยังกำลังเดินหน้าเจรจาซื้อลิขสิทธิ์กีฬาเข้ามาเสริมทัพ ทั้งกีฬาเทนนิสและกอล์ฟมาสเตอร์ ซึ่งน่าจะเจรจาเสร็จสิ้นพร้อมประกาศความร่วมมือในราวปลายปี
“ความพยายามของซีทีเอชในวันนี้ แค่ต้องการเสนอตัวเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า ตอนนี้ต้องถือว่าเราทำงานกันมาครบ 12 เดือนแล้ว เจอภาวะกดดันจากทุกด้าน ผมต้องขอให้เครดิตทีมงาน ที่ทำงานเดินหน้ากันมาได้ 12 เดือนเต็ม มาถึงขนาดนี้แม้จะดูเหมือนล่าช้าไปบ้าง อะไรหลายๆอย่างยังไม่ลงตัว แต่ผมถือว่าเราทำได้ดีมากๆแล้ว เพราะมันเป็นการทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้ทัดเทียมกับคู่แข่งให้ได้ ต้องขยายทั้งเครือข่ายผ่านความร่วมมือจากดีลเลอร์ หาซื้อคอนเท้นท์ดีๆมาให้บริการ”
“ตอนนี้ซีทีเอช มีพนักงานแค่ 200 คน ทั้งๆที่ควรต้องมีสัก 500 คน แต่เราขยายไม่ทัน ทำได้ขนาดนี้ มาได้ขนาดนี้ถือว่าพอใจ เราถูกภาวะการแข่งขันกดดันมาตลอด มีการให้ข่าวสารกดดัน แต่ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของธุรกิจ โดยเฉพาะหลังจากที่เราประมูลได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ก็ต้องบอกว่าเราใช้ความพยายาม ใช้เครดิต ใช้เงินเพราะกรณีพรีเมียร์ลีกไม่ใช่แค่มีเงิน เดินเข้าไปประมูลแล้วเขาจะให้ลิขสิทธิ์มา”
“สำหรับลูกค้าที่ไถ่ถามกันเข้ามามากมาย โดยเฉพาะแฟนๆ ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ก็ต้องขอให้คำมั่นว่าได้ดูแน่ๆ ขอให้ติดตามหรือถามหาดีลเลอร์ของซีทีเอชที่มีอยู่ทั่วประเทศ หลังจากนี้ซีทีเอชจะรุกทำตลาดชัดเจนขึ้น และเชื่อว่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับลูกค้าที่ให้โอกาสเรา”
อาณัติ เมฆไพบูลย์วัฒนา
กรรมการผู้จัดการ
บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน)
“นับจากวันที่ทรูวิชั่นส์รับทราบว่า จากนี้ไปเราจะไม่มีช่องรายการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษในฤดูกาลใหม่ตั้งแต่ 2013/2014–2015/2016 อีกต่อไปแล้ว ทำให้ทรูวิชั่นส์ต้องพิจารณาทบทวนและปรับกลยุทธ์ต่างๆ จนได้ค้นพบว่า “วิกฤติคือโอกาส” อย่างแท้จริง”
เราพบว่าทรูวิชั่นส์มีรายการที่หลายหลาก สนองตอบความต้องการของลูกค้าได้หลายกลุ่มอยู่แล้ว มิใช่เฉพาะเจาะกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเท่านั้น เนื่องจากครัวเรือนที่เป็นสมาชิกทรูวิชั่นส์ 2 ล้านครัวเรือน มิได้เลือกรับชมรายการฟุตบอลฟรีเมียร์ลีกเท่านั้น แต่ยังรับชมรายการอื่นๆ ด้วย ที่มีเนื้อหา สาระ ความรู้ ความบันเทิง ครบครัน มีให้เลือกรับชมมากกว่า 146 ช่อง
ถึงแม้ทรูวิชั่นส์จะไม่มีรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก แต่ก็ยังมีกีฬาที่น่าสนใจ ทั้งฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก การแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลม (4 รายการใหญ่ของการแข่งขันเทนนิสระดับโลก) และดับบลิวทีเอ (รายการเทนนิสที่ยิ่งใหญ่รองจากแกรนด์สแลม) การแข่งขันบาสเกตบอล เอ็นบีเอ การแข่งขันกอล์ฟอีกหลายรายการ ซึ่งถือเป็นรายการกีฬา สุดยอดระดับโลกเช่นกัน
“ส่วนในอีก 3 ปีข้างหน้า ทรูวิชั่นส์จะเข้าร่วมประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดรายการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอีกหรือไม่นั้น คงต้องพิจารณาความเหมาะสมทางธุรกิจของเรา ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมไว้ตลอด เพราะการเสาะหาเนื้อหารายการที่ดีสำหรับลูกค้า ก็เป็นสิ่งที่ทรูวิชั่นส์ ให้ความสำคัญเสมอมา แต่ ณ ขณะนี้ ก็ต้องบอกว่า เราพร้อมแล้วที่จะเดินหน้าโดยที่ไม่มีพรีเมียร์ลีกอีกต่อไป”
นอกจากนี้ เงินที่ไม่ต้องเสียไปกับการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ยังถูกนำมาลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีในการรับส่งสัญญาณการออกอากาศ รวมถึงการคัดสรรเนื้อหารายการระดับสุดยอดของโลก มาสนองตอบความต้องการของสมาชิก โดยรวมแล้วปีนี้ใช้งบจัดหาคอนเท้นท์รายการกว่า 4,500 ล้านบาท เพิ่มจากเดิมที่กำหนดงบลงทุนไว้ 3,500 ล้านบาท
และยังได้ลงทุนพัฒนาระบบ ให้สามารถขยายช่องสัญญาณที่ออกอากาศด้วยมาตรฐานความคมชัดสูง HD: High-definition จาก 7 ช่อง ขยับเพิ่มเป็น 23 และภายในไตรมาส 3 ของปีนี้จะมีช่อง HD ทั้งหมด 30 ช่อง
การขยายช่อง HD ดังกล่าว เป็นเหตุมาจากกระแสตอบรับของลูกค้าดีเยี่ยม และถือว่าทรูวิชั่นส์ “เดินมาถูกทาง” เพราะกลุ่มลูกค้าแพ็กเกจแพลตตินั่ม ราคาสูงสุดที่ชำระค่าสมาชิกรายเดือน เดือนละ 2,000 บาทขึ้นไป และติดตั้งจุดรับชมภายในบ้าน 2-3 จุด มียอดเพิ่มขึ้นมาก
“หลังรู้ว่าสูญเสียลิขสิทธิ์ฟุตบอล เราทำการสำรวจพบฐานลูกค้าอาจหายไประหว่าง 10–20% แต่ล่าสุดในช่วงโค้งสุดท้าย เราพบว่าเราอาจเสียฐานลูกค้าไม่ถึง 10% หรือเป็นตัวเลขเพียงหลักเดียว เพราะบริการใหม่ๆที่เรามอบให้ โดยเฉพาะการเพิ่มช่องบริการ HD โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม”
นอกจากนี้เรายังมองถึงเทรนด์การใช้ชีวิตประจำวันของคนรุ่นใหม่ที่พกพาสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอยู่ตลอดเวลา และเอาใจลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเวลารับชมรายการตามเวลา ด้วยบริการ “ทรูวิชั่นส์ เอนิแวร์” (True Anywhere) ให้ลูกค้าสามารถรับชมได้ทุกที่ทุกเวลา เพียงแค่มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ทำให้สามารถดูรายการสดย้อนหลัง 2 ชั่วโมง หรือเลือกชมรายการย้อนหลังได้ 2 วัน จากกว่า 120 ช่องที่มีให้บริการ
“โดยหลังจากเปิดบริการไม่ถึง 1 เดือน แอพพลิเคชั่น True Anywhere มีคนดาวน์โหลดบริการไปใช้แล้วเกือบ 100,000 ราย ทำให้เราเชื่อว่า ที่สุดแล้วเราสามารถตอบโจทย์การให้บริการตามความต้องการของลูกค้าได้ และมีกำลังใจที่จะเดินหน้าต่อไป”
ทั้งนี้ กลยุทธ์การแข่งขันของทรูวิชั่นส์ มาจาก 5 แกนหลัก ที่สร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ได้แก่ เนื้อหา (คอนเท้นท์) ที่ มีหลากหลายรายการระดับสุดยอดทั้งไทยและระดับโลก เป็น King of Content ตั้งแต่เจ้าแห่งกีฬา King of Sport เจ้าแห่งความบันเทิง King of Entertainment เจ้าแห่งความรู้ King of Knowledge จากพันธมิตร 1,000 รายทั่วโลก, เทคโนโลยี ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน, แพ็กเกจที่มีความหลากหลาย เหมาะสมกับความต้องการ ราคาตั้งแต่ 299-2,000 บาทขึ้นไป, การมีช่องทางบริการที่หลายช่องทาง และการมอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก
โดย 5 แพ็กเกจของทรูวิชั่นส์ มีราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 299 บาท ราคาสูงสุด 2,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป ตั้งแต่แพ็กเกจเริ่มต้น มีช่องสาระบันเทิงคุณภาพ แพ็กเกจซุปเปอร์สปอร์ตส์แพ็กเฉพาะคอกีฬา แพ็กเกจซุปปอร์เอ็นเตอร์เทนเม้นต์แพ็ก สำหรับคอบันเทิงพร้อมช่องเกาหลีสุดฮอต แพ็กเกจคุ้มค่า (โกลด์ HD) หลากหลายกีฬาและภาพยนตร์ชั้นนำทั่วโลก และแพ็กเกจจุใจ (แพลตตินัม HD) เต็มอิ่มครบสมบูรณ์แบบทุกประเภทรายการ
โดยล่าสุดในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขันพรีเมียร์ลีก ทรูวิชั่นส์ยังได้จัดงาน “Visions Ahead Magenta Nigth Party” สร้างแรงบันดาลใจให้กับพันธมิตร พนักงาน และสมาชิก ยืนยันและยืนหยัดการให้บริการ ตอกย้ำความแข็งแกร่งให้กับทรูวิชั่นส์ ให้คำมั่นกับลูกค้าว่าจะไม่หยุดยั้งการสรรหาช่องรายการคุณภาพทั้งระดับประเทศและระดับโลก มานำเสนอให้กับสมาชิกอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งใจเจาะตลาดและเพิ่มบริการใหม่ๆให้กับลูกค้า
นั่นคือ 2 แพ็กเกจใหม่ ซึ่งนำรายการระดับโลกมาทำราคาให้เร้าใจมากขึ้น ได้แก่ แพ็กเกจซุปเปอร์โนว-เลจ เป็นแพ็กเกจที่เน้นช่องรายการสาระความรู้ที่เป็นประโยชน์ และส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพความรู้ด้านต่างๆ จำนวน 116 ช่อง นำโดย ช่อง Discovery Home&Health เจาะกลุ่มผู้หญิง ช่อง Discovery Turbo เจาะกลุ่มคนรักยานยนต์ ช่อง TCL เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร ช่อง BBC Lifestyle จากเกาะอังกฤษ เป็นต้น
และแพ็กเกจซุปเปอร์ สปอร์ต ที่มีรายการกีฬา ทั้งระดับโลก ระดับประเทศ รวม 95 ช่อง ทั้งช่องสยามกีฬา สตาร์ซอคเกอร์ทีวี รวมถึงฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก, มวย, ฟุตบอลกัลโช ซีรี เอ ซึ่งจะเน้นรายการถ่ายทอดสด ที่เพิ่มอรรถรสความบันเทิงด้วยระบบ HD ที่ภาพคมชัดความละเอียดสูง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
โดยการเปิดตัวแพ็กเกจใหม่ดังกล่าว ทรูวิชั่นส์เชื่อว่าจะสามารถกวาดฐานลูกค้าในวงกว้าง (Mass) ได้มากขึ้น
คาดว่ายอดสมาชิกเพิ่มอีก 100,000 ราย จากปัจจุบันอยู่ที่ 2 ล้านครัวเรือน โดยแบ่งเป็นสมาชิกรายเดือน 900,000 ครัวเรือน ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าจานดาวเทียมซื้อขาดจำนวน 1.1 ล้านครัวเรือน
ทำให้ในปีนี้ แม้ไม่มีพรีเมียร์ลีก เราก็ยังมั่นใจว่าจะทำอัตราเติบโตของรายได้ทั้งปีที่ 8–9% ได้สำเร็จ จากปีที่ผ่านมา ที่มียอดรายได้รวม 10,667 ล้านบาท”.
ทีมเศรษฐกิจ
โดย: ทีมเศรษฐกิจ
http://m.thairath.co.th/content/eco/345694
ไม่มีความคิดเห็น: