Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

8 กรกฎาคม 2556 AIS ประกาศความร่วมมือ หัวเหว่ย นำเข้ามือถือไม่ต่ำกว่า 1,500 บาท(ไม่ติดยี่ห้อAIS) // DTAC ชัดเจนเน้นมือือต่ำกว่า5000บาทให้ตลาดเมสย้ายเข้า3Gให้เร็วและมากที่สุด



ประเด็นหลัก



เหตุผลที่ตั้งราคาไม่เกิน 5 พันบาท เนื่องจาก ดีแทค เล็งเห็นช่องว่างทางการตลาด และต้องการจับลูกค้าตลาดมวลชน หรือ (Mass) ให้ย้ายเข้ามาในระบบของ ดีแทค มากที่สุด
    เนื่องจากราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกลุ่มระดับราคา 2 หมื่นบาทขึ้นไปนั้นมีผู้นำตลาดอยู่ 2 ราย คือ ซัมซุง และ ไอโฟน ขณะที่ราคาเครื่อง 2 หมื่น-หมื่นบาทนั้นเป็นตลาดของ ซัมซุง ,โซนี่ และ เอชทีซี  ซึ่งบางครั้งมีการปรับราคาสินค้าลงมาเหลือ 9.9 พันบาท
   
    และทั้งหมด คือ กลยุทธ์การตลาดของ ดีแทค ที่นำเครื่องราคาถูกเข้ามาจำหน่ายเป้าหมายเพื่อต้องการย้ายฐานลูกค้าจาก 2 จีมาสู่ระบบ 3 จีให้เร็วที่สุด

**"เอไอเอส" ไม่เน้นยี่ห้อ
    นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส เปิดเผยว่า ขณะนี้ เอไอเอส เตรียมร่วมมือกับ "หัวเหว่ย" นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ต่ำกว่า 1,500 บาท แต่จะไม่ใช้ชื่อแบรนด์ของ เอไอเอส  เหมือนกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ แต่จะใช้แบรนด์ของผู้ผลิตสินค้าอย่างเดียวแต่หลังเครื่องโทรศัพท์จะติดแบรนด์ "เอไอเอส" เอาไว้เท่านั้น
    "เราเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องใช้แบรนด์ของเราเอง เพราะแบรนด์ของผู้ผลิตสินค้าแข็งแรงและได้รับความมั่นใจกับลูกค้าอยู่แล้ว" นายวิเชียรกล่าว
















______________________________________






ดีแทคจับตลาดแมส..ย้ายลูกค้าเข้า 3 จี



มีการประมาณการตัวเลขคร่าว ๆ หลังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ราย ไล่เลียงตั้งแต่ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด, บริษัท ดีแทค ไทรเน็ต จำกัด และ บริษัท เรียล ฟิวเจอร์ จำกัด หลังได้ใบอนุญาตโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จีย่านความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์

จาก กสทช.(คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ)  ส่งผลให้ธุรกิจการจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตมากกว่า 15%  หรือ มากกว่า 7 ล้านเครื่อง จะมาจากการจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ Smart Phone และ มากกว่า 1 ล้านเครื่องจะมาจาก Smart Device ประเภทแท็บเลต
    ส่งผลให้บรรดาผู้ประกอบการเคลื่อนที่ทั้ง 3 รายพยายามให้ลูกค้าที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 2 จีย้ายเข้ามาสู่ระบบ 3 จี ดังนั้นทางเดียวที่จะให้ลูกค้าออกจากระบบได้ คือ การแบกรับภาระต้นทุนสินค้า ด้วยการนำเครื่องราคาถูกเข้ามาจำหน่าย
    นั่นจึงเป็นที่มาที่ผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 ราย ต้องสแตมป์ แบนด์ของตัวเอง  อย่างกรณีของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อ " ทรู บียอนด์"  จำนวน 3 รุ่นด้วยกัน  แบ่งเป็น แท็บเลต ทรู บียอนด์ หน้าจอสัมผัส 7 นิ้ว กล้องหลังความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.1 เจลลี บีน รองรับไว-ไฟ ราคา 4.99 พันบาท  , ทรู บียอนด์ หน้าจอสัมผัสขนาด 5 นิ้ว กล้องหลัง 8 ล้านพิเซล ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.1 เจลลี บีน รองรับไว-ไฟ เช่นกัน ราคา 6.59 พันบาท  ส่วน สมาร์ทโฟนทรู บียอนด์ 4 จี  รองรับทั้งระบบ 3 จี และ 4 จี แอลทีอี หน้าจอสัมผัส กล้องหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ราคา 9.99 พันบาท โดยใช้งบประมาณการตลาดทั้งสิ้น 30 ล้านบาท
    ส่วน เอไอเอส นั้นเน้นการทำตลาดร่วมกับผู้ผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ อาทิ ซัมซุง และจะร่วมกับ หัวเหว่ย จำหน่ายสินค้าในราคาไม่ต่ำกว่าพันบาท  
ปกรณ์ พรรณเชษฐ์    และล่าสุด "ดีแทค" เปิดตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้แบรนด์ของตัวเองจำนวน  3 รุ่น การเปิดตัวมือถือในครั้งนี้ "ดีแทค"  นำชื่อของสัตว์นานาพรรณมาเป็นชื่อแบรนด์ อันได้แก่ " เม้าท์ซี่ –โจอี้ และ  ซีต้า"
    เพราะอะไรและทำไม "ดีแทค" ถึงต้องสแตมป์แบรนด์ของตัวเอง อ่านคำตอบจากบทสัมภาษณ์ของ นายปกรณ์ พรรณเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการตลาด ของ ดีแทค ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
    ปกรณ์ บอกถึงเหตุผลที่ "ดีแทค" ต้องออกมือถือทั้ง 3 รุ่น ว่า  ต้องการให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือกในการซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่สมาร์ทโฟนในราคาถูกและสามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 จี ได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญง่ายต่อการนำลูกค้าเข้ามาในระบบ 3 จี เพราะโทรศัพท์นั้นเป็นสิ่งแรกในการใช้บริการหากมีการติดตั้งเครือข่ายและไม่มีเครื่องรองรับก็ไม่สามารถใช้บริการได้
    "พลังของ 3 จี ผนวกกับการโปรโมตสินค้าเพิ่มมากขึ้นจะทำให้ลูกค้าง่ายต่อการย้ายเข้าระบบ เพราะฉะนั้น ดีแทค ต้องนำเครื่องราคาถูกเข้ามาจำหน่าย"
    สำหรับราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 รุ่น คือ "โจอี้" ราคาเครื่องเปล่า 2.59 พันบาท, เม้าท์ซี่ ราคา 1.29 พันบาท และ ซีต้า ในราคา 4.59 พันบาท ซึ่งราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่นำมาจำหน่ายตั้งราคาไว้ไม่เกิน 5 พันบาท
    เหตุผลที่ตั้งราคาไม่เกิน 5 พันบาท เนื่องจาก ดีแทค เล็งเห็นช่องว่างทางการตลาด และต้องการจับลูกค้าตลาดมวลชน หรือ (Mass) ให้ย้ายเข้ามาในระบบของ ดีแทค มากที่สุด
    เนื่องจากราคาโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกลุ่มระดับราคา 2 หมื่นบาทขึ้นไปนั้นมีผู้นำตลาดอยู่ 2 ราย คือ ซัมซุง และ ไอโฟน ขณะที่ราคาเครื่อง 2 หมื่น-หมื่นบาทนั้นเป็นตลาดของ ซัมซุง ,โซนี่ และ เอชทีซี  ซึ่งบางครั้งมีการปรับราคาสินค้าลงมาเหลือ 9.9 พันบาท
    ขณะที่ราคาเครื่องที่ 5 พัน-หมื่นบาทนั้น  "ไอ-โมบาย" มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด เพราะ ไอ-โมบาย วางตำแหน่งชัดเจนไม่ได้จำหน่ายเครื่องราคาถูก เพราะต้องการให้คุณสมบัติของเครื่องมีคุณภาพทัดเทียมกับกาแล็กซี่ S4  สินค้าบางรุ่นของ ไอ- โมบาย อย่างกรณีกล้องหลังของ แบล็คเบอร์รี่ โบว์ นั้น ไอ-โมบาย นำมาใส่เป็นกล้องข้างนี้
    ปกรณ์ บอกต่ออีกว่า สินค้าทั้ง 3 รุ่นได้มีการสั่งเข้ามาจำหน่าย 100,000 เครื่องในเบื้องต้นนำมาจำหน่ายเพียง 60,000 เครื่องเท่านั้นส่วนที่เหลืออีก 40,000 เครื่อง เตรียมนำเข้ามาจำหน่ายเพิ่มเติมภายในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยขายผ่านช่องทางของ ดีแทค เซ็นเตอร์ และ ตัวแทนจำหน่าย รวมไปถึงร้านสะดวกซื้อ 7-11 จำกัดขายมือถือเพียง 2 รุ่น คือ โจอี้ กับ เม้าท์ซี่ เท่านั้น
    ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบสมาร์ทโฟน ในระบบของ ดีแทค ขณะนี้อยู่ที่ 6 ล้านคน และมีลูกค้าที่อยู่ระบบ 2 จี แสดงความจำนงย้ายมาระบบ 3 จีแล้ว 2 ล้านคน สิ้นปีเชื่อว่าจะมีลูกค้าจำนวนทั้งสิ้น 10 -12 ล้านราย , ขณะที่ เอไอเอส มีลูกค้าใช้สมาร์ทโฟนในระบบอยู่แล้ว 8-10 ล้านราย และ ทรู อยู่ที่ 3-4 ล้านราย ส่วนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และ ไอโฟน มีคนนิยมใช้มากที่สุดในขณะนี้
    และทั้งหมด คือ กลยุทธ์การตลาดของ ดีแทค ที่นำเครื่องราคาถูกเข้ามาจำหน่ายเป้าหมายเพื่อต้องการย้ายฐานลูกค้าจาก 2 จีมาสู่ระบบ 3 จีให้เร็วที่สุด

**"เอไอเอส" ไม่เน้นยี่ห้อ
    นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส เปิดเผยว่า ขณะนี้ เอไอเอส เตรียมร่วมมือกับ "หัวเหว่ย" นำโทรศัพท์เคลื่อนที่ไม่ต่ำกว่า 1,500 บาท แต่จะไม่ใช้ชื่อแบรนด์ของ เอไอเอส  เหมือนกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ แต่จะใช้แบรนด์ของผู้ผลิตสินค้าอย่างเดียวแต่หลังเครื่องโทรศัพท์จะติดแบรนด์ "เอไอเอส" เอาไว้เท่านั้น
    "เราเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องใช้แบรนด์ของเราเอง เพราะแบรนด์ของผู้ผลิตสินค้าแข็งแรงและได้รับความมั่นใจกับลูกค้าอยู่แล้ว" นายวิเชียรกล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=18987
5:-3-&catid=123:2009-02-08-11-44-33&Itemid=491

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.