Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

05 สิงหาคม 2556 ICT เตือนอย่ากด LIKE หรือแชร์ข่าวลือทุกชนิด!! โดยกระทรวงไอซีทีไม่ได้มีหน้าที่ระบุความผิดโดยตรง แต่เป็นผู้ให้ข้อมูลศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยถ้าผิดเจ้าหน้าที่จะแสดงตัว


ประเด็นหลัก


เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวว่า การแชร์และโพสต์ข้อความต่างๆ ที่มีเนื้อหา ประเภท ยั่วยุ หรือปล่อยข่าวลวง ตามโซเชียลมีเดีย โดยล่าสุดที่มีการโพสต์ข้อความและกระจายข่าวว่าจะมีการปฏิวัติ ซึ่งตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นความจริง ผู้ที่โพสต์ถือว่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพราะอาจจะเข้าข่ายกระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ส่วนขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจที่ได้รับมอบหมายของแต่ละเหตุการณ์

นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) การเผยแพร่ และการโพสต์ข้อความตามกระทู้ต่างๆ ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม เป็นเท็จ กระทบความมั่นคง หรือ ลามกอนาจาร และมาตรา 14 (2) นำเข้าข้อมูลเป็นเท็จ กระทบต่อความมั่นคงหรือประชาชนตื่นตระหนก มีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ทั้งจำและปรับ นอกจากนี้ ยังมีความผิดตามกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดจะใช้กฎหมายดังกล่าวควบคู่กัน


 "กระทรวงไอซีทีไม่ได้มีหน้าที่ระบุความผิดโดยตรง แต่เป็นผู้ให้ข้อมูล เพราะศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) มีหน่วยงานตรวจสอบครอบคลุมทุกด้านอยู่แล้ว ทั้งนี้ หากมีการพิจารณาว่ามีความผิดทาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ร้ายแรง เจ้าหน้าที่จะต้องเสนอนิติกรกระทรวงไอซีที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายพิจารณาขอความเห็นชอบจากรมต.ไอซีที ขออำนาจศาลเพื่อออกคำสั่งปิดเว็บเพจของผู้โพสต์" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว        

   น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวถึงกลุ่มคนที่กดไลค์ (like) หรือ กดแชร์ข้อความดังกล่าว อาจเข้าข่ายมีความผิดเช่นเดียวกับผู้โพสต์ แต่ต้องดูที่เจตนา ที่ต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งถ้าไม่ต้องการให้เกิดความยุ่งยาก ควรระมัดระวังเพราะกฎหมายทางพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จะมีมาตรการควบคุมการนำเข้าข้อมูลที่เป็นเท็จ ดังนั้น จึงอยากฝากไปยังประชาชนในเรื่องของการแสดงความเห็นทางการเมืองที่เป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนสามารถแสดงสิทธิหรือข้อคิดเห็นได้ แต่ต้องคำนึงข้อกฎหมาย เพราะการใช้สิทธิช่องทางดังกล่าวไปละเมิดและขัดต่อกฎหมายก็ไม่ควรกระทำ ตอบ ส่งต่อ





______________________________________




เตือนให้ระวังกดไลค์ แชร์ปลุกระดมการเมือง


'อนุดิษฐ์' ชี้ มือโพสต์ข้อความปลุกระดมการเมือง ผิด พ.ร.บ.ความมั่นคง ระบุ มีเจ้าหน้าที่ประสานงานควบคุมเนื้อหาอยู่แล้ว หากเจ้าหน้าที่พบข้อความมีความผิดหลายกระทงพร้อมส่งต่อขออำนาจศาลสั่งปิดทันที แนะมือกดไลค์ แชร์ เข้าข่ายมีความผิดเช่นกัน วอนแสดงความคิดเห็นให้อยู่ในขอบเขตกฎหมาย
 วันนี้ (5 ส.ค.) ที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มผู้ไม่หวังดีในโซเชียลมีเดีย โพสต์ข้อความปลุกระดมหรือสร้างกระแสเกี่ยวกับการเมืองว่า ในการโพสต์ข้อความลักษณะดังกล่าว เข้าใจว่ามีความผิดเข้าข่าย พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งตามหลักการแล้วการกระทำใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงจะมีเจ้าหน้าที่ผู้รักษาการตามกฎหมายยับยั้งข้อความและดำเนินคดีต่อบุคคลดังกล่าวทันที

 ทั้งนี้ การกระทำความผิดดังกล่าวจะมีตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ที่ทำงานร่วมกับกระทรวงไอซีทีดูแลอยู่แล้ว โดยหากเจ้าหน้าที่มองว่าข้อความที่โพสต์ และเผยแพร่มีผลกระทบต่อความมั่นคงก็ถือว่ามีความผิดทาง พ.ร.บ.ความมั่นคง และยังต้องตรวจสอบอีกว่ามีความผิดใน พ.ร.บ.อื่นๆ อีกหรือไม่ โดยสุดแล้วแต่ว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนจะระบุว่ามีความผิดอะไร

 "กระทรวงไอซีทีไม่ได้มีหน้าที่ระบุความผิดโดยตรง แต่เป็นผู้ให้ข้อมูล เพราะศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) มีหน่วยงานตรวจสอบครอบคลุมทุกด้านอยู่แล้ว ทั้งนี้ หากมีการพิจารณาว่ามีความผิดทาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ร้ายแรง เจ้าหน้าที่จะต้องเสนอนิติกรกระทรวงไอซีที เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายพิจารณาขอความเห็นชอบจากรมต.ไอซีที ขออำนาจศาลเพื่อออกคำสั่งปิดเว็บเพจของผู้โพสต์" น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว          

   น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวถึงกลุ่มคนที่กดไลค์ (like) หรือ กดแชร์ข้อความดังกล่าว อาจเข้าข่ายมีความผิดเช่นเดียวกับผู้โพสต์ แต่ต้องดูที่เจตนา ที่ต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งถ้าไม่ต้องการให้เกิดความยุ่งยาก ควรระมัดระวังเพราะกฎหมายทางพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จะมีมาตรการควบคุมการนำเข้าข้อมูลที่เป็นเท็จ ดังนั้น จึงอยากฝากไปยังประชาชนในเรื่องของการแสดงความเห็นทางการเมืองที่เป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนสามารถแสดงสิทธิหรือข้อคิดเห็นได้ แต่ต้องคำนึงข้อกฎหมาย เพราะการใช้สิทธิช่องทางดังกล่าวไปละเมิดและขัดต่อกฎหมายก็ไม่ควรกระทำ ตอบ ส่งต่อ

http://www.dailynews.co.th/technology/224105

___________________________________________________________



ไอซีทีชี้โพสต์โซเชียลยั่วยุหลอกลวง ผิด พ.ร.บ.มั่นคงโทษทั้งจำ-ปรับ



รมว.ไอซีที ชี้โพสต์ข้อความยั่วยุ เป็นเท็จ หลอกลวง ผ่านโซเชียลมีเดียผิดพ.ร.บ.มั่นคง โทษทั้งจำและปรับ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระบุ ผิดพ.ร.บ.คอมฯ และกฎหมายอาญา...

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที กล่าวว่า การแชร์และโพสต์ข้อความต่างๆ ที่มีเนื้อหา ประเภท ยั่วยุ หรือปล่อยข่าวลวง ตามโซเชียลมีเดีย โดยล่าสุดที่มีการโพสต์ข้อความและกระจายข่าวว่าจะมีการปฏิวัติ ซึ่งตรวจสอบแล้วว่าไม่เป็นความจริง ผู้ที่โพสต์ถือว่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 เพราะอาจจะเข้าข่ายกระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
ส่วนขั้นตอนการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจที่ได้รับมอบหมายของแต่ละเหตุการณ์

นายไพบูลย์ อมรภิญโญเกียรติ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) การเผยแพร่ และการโพสต์ข้อความตามกระทู้ต่างๆ ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม เป็นเท็จ กระทบความมั่นคง หรือ ลามกอนาจาร และมาตรา 14 (2) นำเข้าข้อมูลเป็นเท็จ กระทบต่อความมั่นคงหรือประชาชนตื่นตระหนก มีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ทั้งจำและปรับ นอกจากนี้ ยังมีความผิดตามกฎหมายอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดจะใช้กฎหมายดังกล่าวควบคู่กัน

วันนี้ (5 ส.ค.) กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จะแถลงรายชื่อผู้กระทำความผิด 4 รายที่มีการโพสต์ข้อความว่าจะเกิดการปฏิวัติ ให้มีการตุนน้ำ ตุนอาหาร


โดย: ไทยรัฐออนไลน์
http://m.thairath.co.th/content/tech/361528

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.