15 กรกฎาคม 2557 Advice ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดไอทีชะลอตัวลงไปประมาณ 30% เดิมตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ 1.6 หมื่นล้านบาท แต่ ลดเป้ายอดขายลงมาเหลือ 1.4 หมื่นล้านบาท
ประเด็นหลัก
นายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ โฮลดิ้งส์ กรุ๊ป จำกัด (AVH) ผู้ค้าปลีกสินค้าไอที ภายใต้ชื่อร้าน "แอดไวซ์" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าแนวโน้มตลาดไอทีครึ่งปีหลังของปี2557 น่าจะกลับมาดีขึ้น อย่างไรก็ตามมองว่ายังไม่สามารถครอบคลุมรายได้ที่หายไปจากตลาดในครึ่งปีแรก โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้ตลาดไอทีชะลอตัวลงไปประมาณ 30% ส่วนครึ่งปีหลังประเมินว่าตลาดน่าจะฟื้นตัวกลับ หลังจากที่การเมืองนิ่งและกำลังซื้อส่งสัญญาณกลับคืนมา โดยคาดว่าตลาดจะเติบโตขึ้นราว 5-10%
นอกจากนี้ยังได้ปรับลดงบประมาณการตลาดลงมาตามยอดขาย รวมถึงค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการ และโลจิสติกส์ลงมา โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังยอดขายจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตามไม่สามารถทดแทนรายได้ที่หายไปครึ่งแรกได้ทั้งหมด ส่วนการขยายสาขานั้นยังคงเดินหน้าขยายสาขาลงไประดับอำเภอ โดยการแต่งตั้งร้าน "แอดวันช็อป" เพิ่มขึ้นเดือนละ 1-2 สาขา
นายณัฏฐ์กล่าวต่อไปว่าเดิมตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ 1.6 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคมได้มีการทบทวนรายได้ และลดเป้ายอดขายลงมาเหลือ 1.4 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกสัดส่วนรายได้หลักมาจากไอที 90% ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าสัดส่วนรายได้จะมาจากไอทีประมาณ 70% ส่วนอีก 30% มาจากสมาร์ทโฟน และบริการ
______________________________________
แอดไวซ์' สู้ศึกค้าปลีกไอทีฟื้น
"แอดไวซ์" ฮึดสู้ธุรกิจค้าปลีกไอทีครึ่งปีหลัง เชื่อแนวโน้มตลาดฟื้นตัว ถึงเวลาลูกค้ากลับมาเปลี่ยนโน้ตบุ๊กเครื่องใหม่ เตรียมเปิดศูนย์วันสต็อป ทำตลาดสมาร์ทโฟน-แพ็กเกจให้กับทรูมูฟ เอช สิ้น ก.ค.นี้ ปรับเป้ารายได้ใหม่เหลือ 1.4 หมื่น ล.จากเดิม 1.6 หมื่น ล.
ณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ นายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ โฮลดิ้งส์ กรุ๊ป จำกัด (AVH) ผู้ค้าปลีกสินค้าไอที ภายใต้ชื่อร้าน "แอดไวซ์" เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าแนวโน้มตลาดไอทีครึ่งปีหลังของปี2557 น่าจะกลับมาดีขึ้น อย่างไรก็ตามมองว่ายังไม่สามารถครอบคลุมรายได้ที่หายไปจากตลาดในครึ่งปีแรก โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้ตลาดไอทีชะลอตัวลงไปประมาณ 30% ส่วนครึ่งปีหลังประเมินว่าตลาดน่าจะฟื้นตัวกลับ หลังจากที่การเมืองนิ่งและกำลังซื้อส่งสัญญาณกลับคืนมา โดยคาดว่าตลาดจะเติบโตขึ้นราว 5-10%
สำหรับการแข่งขันของธุรกิจเชนสโตร์สินค้าไอทีนั้นมองว่าการแข่งขันค่อนข้างลงตัว โดยผู้ค้าหลักที่เหลืออยู่ 4-5 ราย สามารถปรับตัว ประคับประคองธุรกิจ ขยับขยายไปยังธุรกิจใหม่ เช่น การขยายไปทำตลาดสมาร์ทโฟน เพื่อสร้างรายได้ขึ้นมาทดแทน ซึ่งถึงขณะนี้มองว่าสามารถผ่านพ้นวิกฤติมาได้ และมีกลุ่มตลาดของตัวเอง ขณะที่ความต้องการของตลาดที่ลดลง ทำให้การแข่งขันทางด้านราคาก็ลดลงเช่นเดียวกัน
"ตลาดโน้ตบุ๊ก น่าจะเลยจุดต่ำสุดมาแล้ว เชื่อว่าครึ่งปีหลังน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาคนชะลอเปลี่ยนโน้ตบุ๊ก และหันมาซื้อสมาร์ทโฟน แท็บเลตไปใช้งานแทน อย่างไรก็ตามมองว่าการทำงานของทั้ง 2 อุปกรณ์ไม่สามารถใช้งานแทนโน้ตบุ๊กได้ทั้งหมด อีกทั้งโน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ออกมายังมีคุณสมบัติใช้งานเป็นทั้งโน้ตบุ๊ก และแท็บเลต จึงมองว่าน่าจะถึงเวลาที่ผู้บริโภคต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่แล้ว หลังจากที่อั้นมานาน ซึ่งอาจต้องรอดูอีกครั้งช่วงมหาวิทยาลัยเปิดเทอมช่วงเดือนกันยายน 2557"
สำหรับทิศทางของบริษัทนั้นในครึ่งปีหลังนั้นบริษัทคงมุ่งทำตลาดแท็บเลตแบรนด์เนมมากขึ้น และลดบทบาทในการทำตลาดแบรนด์จีน คือ สโคแพดลงไป เนื่องจากแท็บเลตแบรนด์เนมทำราคาลงมาใกล้เคียงกับแบรนด์จีน และได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมากกว่า นอกจากนี้คาดว่าในสิ้นเดือนกรกฎาคมนี้บริษัทจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศูนย์วันสต็อปเซอร์วิสให้กับทรูมูฟเอช โดยทำหน้าที่ตลาดสมาร์ทโฟน และแพ็กเกจ รวมถึงให้บริการเปิดเบอร์ใหม่และรับชำระค่าบริการให้กับทรูมูฟเอช ซึ่งจะเปิดให้บริการผ่านแอดไวซ์ช็อปที่มีอยู่ 100 แห่งพร้อมกัน ส่วนการให้บริการวันสต็อปเซอร์วิสกับเอไอเอสนั้น ก็ยังดำเนินการอยู่ แต่จะทยอยขยายการให้บริการไปเดือนละประมาณ 20 ช็อป จนครบทั้งหมด
นอกจากนี้ยังได้ปรับลดงบประมาณการตลาดลงมาตามยอดขาย รวมถึงค่าใช้จ่ายการบริหารจัดการ และโลจิสติกส์ลงมา โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังยอดขายจะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตามไม่สามารถทดแทนรายได้ที่หายไปครึ่งแรกได้ทั้งหมด ส่วนการขยายสาขานั้นยังคงเดินหน้าขยายสาขาลงไประดับอำเภอ โดยการแต่งตั้งร้าน "แอดวันช็อป" เพิ่มขึ้นเดือนละ 1-2 สาขา
นายณัฏฐ์กล่าวต่อไปว่าเดิมตั้งเป้ายอดขายปีนี้ไว้ 1.6 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตามในเดือนพฤษภาคมได้มีการทบทวนรายได้ และลดเป้ายอดขายลงมาเหลือ 1.4 หมื่นล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกสัดส่วนรายได้หลักมาจากไอที 90% ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าสัดส่วนรายได้จะมาจากไอทีประมาณ 70% ส่วนอีก 30% มาจากสมาร์ทโฟน และบริการ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=238405:2014-07-10-08-55-41&catid=123:2009-02-08-11-44-33&Itemid=491#.U8T-9FZAeuw
ไม่มีความคิดเห็น: