01 สิงหาคม 2558 IDC ระบุ ธุรกิจไอซีทีของไทย อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านไอซีทีโดยทั่วไปแล้วพบว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า จีดีพี ของประเทศราว 3-8%
ประเด็นหลัก
รายงานข่าวจากบริษัทไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าภาพรวมของการใช้จ่ายด้านไอทีและการสื่อสาร(ไอซีที) ของประเทศไทยในปี 2558 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพียงเล็กน้อยที่ 3.8% ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เติบโตเล็กน้อยและเงินลงทุนที่หดหายไปของภาคธุรกิจ
โดยรายงานการสำรวจนี้มาจาก การปรับปรุงรายงานการใช้จ่ายไอซีทีของไทยในปี 2558 ที่มีฐานมาจาก ข้อมูลเชิงลึกในตลาดต่าง ๆ ของธุรกิจไอซีที จำนวน 11 ธุรกิจที่ไอดีซีทำการเก็บข้อมูลและคาดการณ์แนวโน้มตลาดอย่างต่อเนื่องภายใต้ชื่อ IDC Tracker การปรับปรุงนี้ได้มีการทบทวนการใช้จ่ายในตลาดหลักๆ เช่น ตลาดโทรคมนาคม ไคลเอนต์ดีไวซ์ ซอฟต์แวร์ในองค์กร ระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร (enterprise computing) บริการด้านไอทีและอุปกรณ์ต่อพ่วงไอทีต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามไทยยังคงเป็นผู้ซื้อรายใหญ่เป็นอันดับ2 สำหรับสินค้าและบริการด้านไอซีทีในภูมิภาคอาเซียน แม้ว่าจะประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจซบเซาและปัญหาด้านการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2558 คาดว่าจะมีการใช้จ่ายด้านไอซีทีที่มีจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และผู้บริโภครวมกัน จะอยู่ที่ราว 20.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ไมเคิล อาราเนต้าไมเคิล อาราเนต้า โดยนายไมเคิล อาราเนต้า ผู้จัดการประจำเทศไทย บริษัทไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าปี 2558 นี้ค่อนข้างเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจไอซีทีของไทย อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านไอซีทีโดยทั่วไปแล้วพบว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า จีดีพี ของประเทศราว 3-8% แต่ปีนี้ ส่วนต่างระหว่างช่วงดังกล่าวหดแคบลงเหลือต่ำกว่า 1% อย่างไรก็ตาม ปี 2558 มีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นสำหรับแนวโน้มของการปรับเปลี่ยนที่ค่อนข้างเด่นชัดในตลาดไอซีที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ 3 อย่างเช่น คลาวด์, โมบิลิตี และ การวิเคราะห์บิ๊กดาต้า เกิดขึ้น โดยคาดว่า การฟื้นตัวจะค่อย ๆ เกิดขึ้นในปี 2559 และเริ่มเห็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของตลาดไอทีไทย บทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจ ไอซีที ที่มีโจทย์และความท้าทายใหม่กำลังจะเข้ามา
____________________________
ใช้จ่ายไอซีทีไทยปี58ยอดโตตํ่า
ใช้จ่ายไอซีทีไทยปี58ยอดโตตํ่า
ไอดีซีคาดปีหน้าถึงจุดฟื้นตัว/เห็นยุคใหม่ตลาดไอที
การใช้จ่ายด้านไอซีทีปี 58 เติบโตต่ำกว่าปกติ นักวิเคราะห์ไอดีซี มองจุดฟื้นตัวและยุคใหม่ของไอซีทีไทยจะอยู่ในปี 59 เชื่อประมูล 4 จี ปลายปีส่งผลกระตุ้นตลาดกลางปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจดิจิตอล มีผลดีตลาดอีก 2-3 ปี ชี้ไทยมีจุดได้เปรียบการเป็นผู้นำค้าส่งอินโดจีน-อี-คอมเมิร์ซ
รายงานข่าวจากบริษัทไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าภาพรวมของการใช้จ่ายด้านไอทีและการสื่อสาร(ไอซีที) ของประเทศไทยในปี 2558 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพียงเล็กน้อยที่ 3.8% ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เติบโตเล็กน้อยและเงินลงทุนที่หดหายไปของภาคธุรกิจ
โดยรายงานการสำรวจนี้มาจาก การปรับปรุงรายงานการใช้จ่ายไอซีทีของไทยในปี 2558 ที่มีฐานมาจาก ข้อมูลเชิงลึกในตลาดต่าง ๆ ของธุรกิจไอซีที จำนวน 11 ธุรกิจที่ไอดีซีทำการเก็บข้อมูลและคาดการณ์แนวโน้มตลาดอย่างต่อเนื่องภายใต้ชื่อ IDC Tracker การปรับปรุงนี้ได้มีการทบทวนการใช้จ่ายในตลาดหลักๆ เช่น ตลาดโทรคมนาคม ไคลเอนต์ดีไวซ์ ซอฟต์แวร์ในองค์กร ระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร (enterprise computing) บริการด้านไอทีและอุปกรณ์ต่อพ่วงไอทีต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามไทยยังคงเป็นผู้ซื้อรายใหญ่เป็นอันดับ2 สำหรับสินค้าและบริการด้านไอซีทีในภูมิภาคอาเซียน แม้ว่าจะประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจซบเซาและปัญหาด้านการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2558 คาดว่าจะมีการใช้จ่ายด้านไอซีทีที่มีจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และผู้บริโภครวมกัน จะอยู่ที่ราว 20.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ไมเคิล อาราเนต้าไมเคิล อาราเนต้า โดยนายไมเคิล อาราเนต้า ผู้จัดการประจำเทศไทย บริษัทไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าปี 2558 นี้ค่อนข้างเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจไอซีทีของไทย อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านไอซีทีโดยทั่วไปแล้วพบว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า จีดีพี ของประเทศราว 3-8% แต่ปีนี้ ส่วนต่างระหว่างช่วงดังกล่าวหดแคบลงเหลือต่ำกว่า 1% อย่างไรก็ตาม ปี 2558 มีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นสำหรับแนวโน้มของการปรับเปลี่ยนที่ค่อนข้างเด่นชัดในตลาดไอซีที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ 3 อย่างเช่น คลาวด์, โมบิลิตี และ การวิเคราะห์บิ๊กดาต้า เกิดขึ้น โดยคาดว่า การฟื้นตัวจะค่อย ๆ เกิดขึ้นในปี 2559 และเริ่มเห็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของตลาดไอทีไทย บทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจ ไอซีที ที่มีโจทย์และความท้าทายใหม่กำลังจะเข้ามา
ส่วนนายจาริตร์ สิทธุ นักวิเคราะห์อาวุโส สายงานศึกษาตลาดไคลเอนต์ดีไวซ์ ประจำไอดีซีประเทศไทย กล่าวว่าตลาดไอซีทีโดยรวมปี 2558 มีมูลค่าประมาณ 677,317 ล้านบาท เติบโต 3.81% จากเดิมต้นปีคาดการณ์ว่าตลาดไอซีทีโดยรวมจะเติบโตราว 13% โดยหากจำแนกเฉพาะตลาดไอที คาดว่าในปี 58 มีมูลค่า 369,541 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 1.94% เท่านั้น ขณะที่ตลาดสื่อสาร มีมูลค่าประมาณ 308,276 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6.15% ทั้งนี้ประเมินว่าในปีนี้ และปีหน้า ตลาดจะเติบโตสูงกว่าจีดีพีเพียงเล็กน้อย จากเดิมมีการเติบโตสูงกว่าจีดีพี 2 เท่า อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต
ส่วนเศรษฐกิจดิจิตอลนั้นเป็นแผนระยะยาว ที่มองว่าไม่มีผลต่อการเติบโตของตลาดช่วง 6 เดือนข้างหน้า แต่จะเกิดผลใน 2-3 ปี เช่นเดียวกับ 4 จี หากเกิดการประมูลช่วงสิ้นปี คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือนหลังการประมูล ถึงจะมีผลต่อการกระตุ้นตลาดให้เติบโตขึ้น
นายจาริตร์ กล่าวต่อไปอีกว่าจากการศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิตอลของไอดีซี ซึ่งพบว่ารัฐบาลมีการทำการบ้านมาดี และมีการวางโรดแมป ชัดเจน อย่างไรก็ตามคาดว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิตอล และแผนแม่บท จะมีความชัดเจนนั้นคาดว่าใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน นอกจากนี้ยังมองว่ารัฐบาลต้องหาจุดขายในการไปสู่เศรษฐกิจดิจิตอลชัดเจน โดยมุมมองไอดีซี มองว่าหากเป็นผู้ผลิตด้านไอซีทีนั้น อาจเสียเปรียบเวียดนาม ที่มีต้นทุนต่ำกว่า และมีความใกล้กับจีน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วน เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย ที่มีตัวเลขประชากรสูง
ส่วนการเป็นผู้ให้บริการด้านไอซีทีนั้นหากเป็นบริการทางด้านบิสิเนส โพรเซส ไทยอาจเสียเปรียบทักษะด้านภาษา เมื่อเทียบฟิลิปปินส์และมาเลเซีย จุดที่ไทยมีความได้เปรียบคือมีบุคลากรที่มีทักษะด้านไอซีทีสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งเหมาะกับการให้บริการที่ปรึกษาด้านไอซีที
หรือหากไทยต้องการเป็นผู้นำทางด้านการค้าไอซีที เช่นเดียวกับฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ นั้นมองว่าการเป็นผู้ค้าส่ง น่าจะมีโอกาสมากกว่า เนื่องจากไทยสามารถเป็นศูนย์กลางขยายตลาดอินโดจีน ทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา ส่วนค้าปลีกนั้นปริมาณความต้องการภายในประเทศอาจไม่สูงพบ สุดท้าย คือการเป็นผู้นำอี-คอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโตสูงในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งไอดีซีมองว่า 2 ขาที่ได้มีความได้เปรียบคือผู้ค้าส่งสินค้าไปยังกลุ่มอินโดจีน และอี-คอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตามภาครัฐจะต้องให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งบริการ 4 จี และ ฟิกซ์ บรอดแบนด์ รวมถึงช่องทางในการให้ภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการแก้กฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ เพื่อปกป้องให้คนอยากเข้ามาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ สุดท้ายคือการเพิ่มปริมาณบุคลากรที่มีทักษะมากขึ้น และป้องกันสมองไหลออกสู่ต่างประเทศ
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=286221:58&catid=123:2009-02-08-11-44-33&Itemid=491#.Vbwr-2BAeuw
รายงานข่าวจากบริษัทไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าภาพรวมของการใช้จ่ายด้านไอทีและการสื่อสาร(ไอซีที) ของประเทศไทยในปี 2558 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพียงเล็กน้อยที่ 3.8% ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เติบโตเล็กน้อยและเงินลงทุนที่หดหายไปของภาคธุรกิจ
โดยรายงานการสำรวจนี้มาจาก การปรับปรุงรายงานการใช้จ่ายไอซีทีของไทยในปี 2558 ที่มีฐานมาจาก ข้อมูลเชิงลึกในตลาดต่าง ๆ ของธุรกิจไอซีที จำนวน 11 ธุรกิจที่ไอดีซีทำการเก็บข้อมูลและคาดการณ์แนวโน้มตลาดอย่างต่อเนื่องภายใต้ชื่อ IDC Tracker การปรับปรุงนี้ได้มีการทบทวนการใช้จ่ายในตลาดหลักๆ เช่น ตลาดโทรคมนาคม ไคลเอนต์ดีไวซ์ ซอฟต์แวร์ในองค์กร ระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร (enterprise computing) บริการด้านไอทีและอุปกรณ์ต่อพ่วงไอทีต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามไทยยังคงเป็นผู้ซื้อรายใหญ่เป็นอันดับ2 สำหรับสินค้าและบริการด้านไอซีทีในภูมิภาคอาเซียน แม้ว่าจะประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจซบเซาและปัญหาด้านการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2558 คาดว่าจะมีการใช้จ่ายด้านไอซีทีที่มีจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และผู้บริโภครวมกัน จะอยู่ที่ราว 20.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ไมเคิล อาราเนต้าไมเคิล อาราเนต้า โดยนายไมเคิล อาราเนต้า ผู้จัดการประจำเทศไทย บริษัทไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าปี 2558 นี้ค่อนข้างเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจไอซีทีของไทย อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านไอซีทีโดยทั่วไปแล้วพบว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า จีดีพี ของประเทศราว 3-8% แต่ปีนี้ ส่วนต่างระหว่างช่วงดังกล่าวหดแคบลงเหลือต่ำกว่า 1% อย่างไรก็ตาม ปี 2558 มีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นสำหรับแนวโน้มของการปรับเปลี่ยนที่ค่อนข้างเด่นชัดในตลาดไอซีที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ 3 อย่างเช่น คลาวด์, โมบิลิตี และ การวิเคราะห์บิ๊กดาต้า เกิดขึ้น โดยคาดว่า การฟื้นตัวจะค่อย ๆ เกิดขึ้นในปี 2559 และเริ่มเห็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของตลาดไอทีไทย บทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจ ไอซีที ที่มีโจทย์และความท้าทายใหม่กำลังจะเข้ามา
____________________________
ใช้จ่ายไอซีทีไทยปี58ยอดโตตํ่า
ใช้จ่ายไอซีทีไทยปี58ยอดโตตํ่า
ไอดีซีคาดปีหน้าถึงจุดฟื้นตัว/เห็นยุคใหม่ตลาดไอที
การใช้จ่ายด้านไอซีทีปี 58 เติบโตต่ำกว่าปกติ นักวิเคราะห์ไอดีซี มองจุดฟื้นตัวและยุคใหม่ของไอซีทีไทยจะอยู่ในปี 59 เชื่อประมูล 4 จี ปลายปีส่งผลกระตุ้นตลาดกลางปีหน้า ขณะที่เศรษฐกิจดิจิตอล มีผลดีตลาดอีก 2-3 ปี ชี้ไทยมีจุดได้เปรียบการเป็นผู้นำค้าส่งอินโดจีน-อี-คอมเมิร์ซ
รายงานข่าวจากบริษัทไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่าภาพรวมของการใช้จ่ายด้านไอทีและการสื่อสาร(ไอซีที) ของประเทศไทยในปี 2558 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพียงเล็กน้อยที่ 3.8% ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เติบโตเล็กน้อยและเงินลงทุนที่หดหายไปของภาคธุรกิจ
โดยรายงานการสำรวจนี้มาจาก การปรับปรุงรายงานการใช้จ่ายไอซีทีของไทยในปี 2558 ที่มีฐานมาจาก ข้อมูลเชิงลึกในตลาดต่าง ๆ ของธุรกิจไอซีที จำนวน 11 ธุรกิจที่ไอดีซีทำการเก็บข้อมูลและคาดการณ์แนวโน้มตลาดอย่างต่อเนื่องภายใต้ชื่อ IDC Tracker การปรับปรุงนี้ได้มีการทบทวนการใช้จ่ายในตลาดหลักๆ เช่น ตลาดโทรคมนาคม ไคลเอนต์ดีไวซ์ ซอฟต์แวร์ในองค์กร ระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร (enterprise computing) บริการด้านไอทีและอุปกรณ์ต่อพ่วงไอทีต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามไทยยังคงเป็นผู้ซื้อรายใหญ่เป็นอันดับ2 สำหรับสินค้าและบริการด้านไอซีทีในภูมิภาคอาเซียน แม้ว่าจะประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจซบเซาและปัญหาด้านการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2558 คาดว่าจะมีการใช้จ่ายด้านไอซีทีที่มีจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และผู้บริโภครวมกัน จะอยู่ที่ราว 20.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ไมเคิล อาราเนต้าไมเคิล อาราเนต้า โดยนายไมเคิล อาราเนต้า ผู้จัดการประจำเทศไทย บริษัทไอดีซี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าปี 2558 นี้ค่อนข้างเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจไอซีทีของไทย อัตราการเติบโตของการใช้จ่ายด้านไอซีทีโดยทั่วไปแล้วพบว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่า จีดีพี ของประเทศราว 3-8% แต่ปีนี้ ส่วนต่างระหว่างช่วงดังกล่าวหดแคบลงเหลือต่ำกว่า 1% อย่างไรก็ตาม ปี 2558 มีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นสำหรับแนวโน้มของการปรับเปลี่ยนที่ค่อนข้างเด่นชัดในตลาดไอซีที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มที่ 3 อย่างเช่น คลาวด์, โมบิลิตี และ การวิเคราะห์บิ๊กดาต้า เกิดขึ้น โดยคาดว่า การฟื้นตัวจะค่อย ๆ เกิดขึ้นในปี 2559 และเริ่มเห็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของตลาดไอทีไทย บทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในธุรกิจ ไอซีที ที่มีโจทย์และความท้าทายใหม่กำลังจะเข้ามา
ส่วนนายจาริตร์ สิทธุ นักวิเคราะห์อาวุโส สายงานศึกษาตลาดไคลเอนต์ดีไวซ์ ประจำไอดีซีประเทศไทย กล่าวว่าตลาดไอซีทีโดยรวมปี 2558 มีมูลค่าประมาณ 677,317 ล้านบาท เติบโต 3.81% จากเดิมต้นปีคาดการณ์ว่าตลาดไอซีทีโดยรวมจะเติบโตราว 13% โดยหากจำแนกเฉพาะตลาดไอที คาดว่าในปี 58 มีมูลค่า 369,541 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 1.94% เท่านั้น ขณะที่ตลาดสื่อสาร มีมูลค่าประมาณ 308,276 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6.15% ทั้งนี้ประเมินว่าในปีนี้ และปีหน้า ตลาดจะเติบโตสูงกว่าจีดีพีเพียงเล็กน้อย จากเดิมมีการเติบโตสูงกว่าจีดีพี 2 เท่า อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับการเติบโตในอนาคต
ส่วนเศรษฐกิจดิจิตอลนั้นเป็นแผนระยะยาว ที่มองว่าไม่มีผลต่อการเติบโตของตลาดช่วง 6 เดือนข้างหน้า แต่จะเกิดผลใน 2-3 ปี เช่นเดียวกับ 4 จี หากเกิดการประมูลช่วงสิ้นปี คาดว่าต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือนหลังการประมูล ถึงจะมีผลต่อการกระตุ้นตลาดให้เติบโตขึ้น
นายจาริตร์ กล่าวต่อไปอีกว่าจากการศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิตอลของไอดีซี ซึ่งพบว่ารัฐบาลมีการทำการบ้านมาดี และมีการวางโรดแมป ชัดเจน อย่างไรก็ตามคาดว่ากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิตอล และแผนแม่บท จะมีความชัดเจนนั้นคาดว่าใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน นอกจากนี้ยังมองว่ารัฐบาลต้องหาจุดขายในการไปสู่เศรษฐกิจดิจิตอลชัดเจน โดยมุมมองไอดีซี มองว่าหากเป็นผู้ผลิตด้านไอซีทีนั้น อาจเสียเปรียบเวียดนาม ที่มีต้นทุนต่ำกว่า และมีความใกล้กับจีน ซึ่งเป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วน เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย ที่มีตัวเลขประชากรสูง
ส่วนการเป็นผู้ให้บริการด้านไอซีทีนั้นหากเป็นบริการทางด้านบิสิเนส โพรเซส ไทยอาจเสียเปรียบทักษะด้านภาษา เมื่อเทียบฟิลิปปินส์และมาเลเซีย จุดที่ไทยมีความได้เปรียบคือมีบุคลากรที่มีทักษะด้านไอซีทีสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ซึ่งเหมาะกับการให้บริการที่ปรึกษาด้านไอซีที
หรือหากไทยต้องการเป็นผู้นำทางด้านการค้าไอซีที เช่นเดียวกับฮ่องกง หรือ สิงคโปร์ นั้นมองว่าการเป็นผู้ค้าส่ง น่าจะมีโอกาสมากกว่า เนื่องจากไทยสามารถเป็นศูนย์กลางขยายตลาดอินโดจีน ทั้งเมียนมา ลาว และกัมพูชา ส่วนค้าปลีกนั้นปริมาณความต้องการภายในประเทศอาจไม่สูงพบ สุดท้าย คือการเป็นผู้นำอี-คอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโตสูงในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งไอดีซีมองว่า 2 ขาที่ได้มีความได้เปรียบคือผู้ค้าส่งสินค้าไปยังกลุ่มอินโดจีน และอี-คอมเมิร์ซ อย่างไรก็ตามภาครัฐจะต้องให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งบริการ 4 จี และ ฟิกซ์ บรอดแบนด์ รวมถึงช่องทางในการให้ภาคเอกชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการแก้กฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ เพื่อปกป้องให้คนอยากเข้ามาสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ สุดท้ายคือการเพิ่มปริมาณบุคลากรที่มีทักษะมากขึ้น และป้องกันสมองไหลออกสู่ต่างประเทศ
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=286221:58&catid=123:2009-02-08-11-44-33&Itemid=491#.Vbwr-2BAeuw
ไม่มีความคิดเห็น: