Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

01 สิงหาคม 2555 CAT สั่งลุยโครงการเคเบิลใต้น้ำ รองรับบริการอินเตอร์เนต 1.5พันล. เพื่อ 1,000 กิกะไบต์

CAT สั่งลุยโครงการเคเบิลใต้น้ำ รองรับบริการอินเตอร์เนต 1.5พันล. เพื่อ 1,000 กิกะไบต์


ประเด็นหลัก

กสทฯ ได้ขอขยายวงเงินจาก 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 300 ล้านบาท เป็น 51 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 1,500 ล้านาท

ทั้ง นี้ หากกระทรวงไอซีทีเห็นชอบ กสทฯ จะเร่งเจรจาและลงนามร่วมกับภาคีประเทศสมาชิก คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพ.ย.นี้ จากนั้นเร่งดำเนินการติดตั้ง ในเอเชียแปซิฟิกซึ่งน่าจะแล้วเสร็จในปี 2557 มีความยาวกว่า 8,000 กิโลเมตร มีจุดขึ้นบกในประเทศต่างๆ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฮ่องกง ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย

"การที่ไทยมีจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตออก ต่างประเทศ และมีจุดขึ้นบกหลายเส้นทางแล้ว จะเป็นส่วนเพิ่มปริมาณความจุโครงข่าย (คาปาซิตี้) ของแบรนด์วิธรวมในประเทศด้วย ซึ่งในปี 2558 ที่เปิดให้บริการปีแรก จะมีคาปาซิตี้ 50 กิกะไบต์ ปี 2559 เพิ่มเป็น 250 กิกะไบต์ และสุดท้ายในปี 2562 จะเพิ่มเป็น 1,000 กิกะไบต์" นายกิตติศักดิ์ กล่าว
________________________________________



กสท.เข้าเสียบโครงการเอพีจีหลังทีโอทีเจรจาล้มเหลว ช่วยดันเป้ารายได้


นาย กิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ กสทฯ ได้อนุมติเห็นชอบให้กสทฯ เป็นผู้เสนอตัวทำโครงการขยายจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเกตเวย์ในเอเซีย (เอพีจี) สำหรับบริการเคเบิลใต้น้ำ โดยล่าสุดได้มอบหมายให้ฝ่ายบริหารไปทำรายละเอียดโครงการ เพื่อเสนอต่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) ในการเสนอของบประมาณตามลำดับ


อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น กสทฯ ได้ขอขยายวงเงินจาก 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 300 ล้านบาท เป็น 51 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 1,500 ล้านาท

ทั้งนี้ หากกระทรวงไอซีทีเห็นชอบ กสทฯ จะเร่งเจรจาและลงนามร่วมกับภาคีประเทศสมาชิก คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพ.ย.นี้ จากนั้นเร่งดำเนินการติดตั้ง ในเอเชียแปซิฟิกซึ่งน่าจะแล้วเสร็จในปี 2557 มีความยาวกว่า 8,000 กิโลเมตร มีจุดขึ้นบกในประเทศต่างๆ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฮ่องกง ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย

"การที่ไทยมีจุดเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตออก ต่างประเทศ และมีจุดขึ้นบกหลายเส้นทางแล้ว จะเป็นส่วนเพิ่มปริมาณความจุโครงข่าย (คาปาซิตี้) ของแบรนด์วิธรวมในประเทศด้วย ซึ่งในปี 2558 ที่เปิดให้บริการปีแรก จะมีคาปาซิตี้ 50 กิกะไบต์ ปี 2559 เพิ่มเป็น 250 กิกะไบต์ และสุดท้ายในปี 2562 จะเพิ่มเป็น 1,000 กิกะไบต์" นายกิตติศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ เดิมโครงการดังกล่าวนั้น บมจ. ทีโอที เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ แต่ทีโอทีไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับภาคีสมาชิกได้ ดังนั้น กสทฯ จึงเสนอตัวขอทำแทน อย่างไรก็ตามระหว่างนี้ก็ไม่แน่ใจว่า ทีโอทีจะขอกลับมาทำโครงการนี้เองอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งหากทีโอทีจะขอดำเนินการ ก็ต้องให้กระทรวงไอซีทีตัดสินใจว่า จะให้ใครเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ สิ่งที่กสทฯ ดึงมาเป็นจุดแข็งในการดำเนินการ ก็เพื่อต่อยอดธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) และการให้บริการวงจรเช่าเกตเวย์ต่างประเทศ (ไอไอจี) ด้วย

นายกิตติ ศักดิ์ กล่าวว่า หากกสทฯ ได้รับงบประมาณจากไอซีที ในการดำเนินงานโครงการเอพีจีนั้น จะทำให้มีรายได้เข้ามาในปีแรกที่เปิดให้บริการ คือ ปี 2558 จำนวน 112 ล้านบาท ปี 2559 จำนวน 590 ล้านบาท ปี 2560 จำนวน 723 ล้านบาท ปี 2561 จำนวน 883 ล้านบาท และปี 2562 จำนวน 946 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะมีทั้งจากลูกค้าองค์กรในประเทศ และการขายช่องสัญญาณให้เช่าแบนด์วิธจากต่างประเทศ และมีการกำหนดระยะเวลาคุ้มทุนที่ 6 ปี คำนวณจากมูลค่าโครงการทั้งหมด 600 ล้านบาท

"แผนดังกล่าว จะมาช่วยเพิ่มรายได้จากการดำเนินงานของกสทฯ เอง ซึ่งเป้าหมายสูงสุดขององค์กร คือ ต้องการเป็นศูนย์กลางด้านโครงข่ายเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเกตเวย์ไปต่างประเทศ แถบอินโดไชน่า ประกอบด้วย พม่า ลาว และกัมพูชา โดยคาดว่าปี 2555 นี้ รายได้จากธุรกิจสื่อสารข้อมูลจะมีมากกว่า 7,650 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตระหว่างปี 2555-2556 ราว 8.1% ซึ่งรายได้ในธุรกิจสื่อสารข้อมูล คิดเป็น 15% ของรายได้รวมปีนี้" นายกิตติศักดิ์ กล่าว

อินโฟเควสท์
http://www.ryt9.com/s/iq05/1456874

_________________________________________________


‘บอร์ด กสท’สั่งลุยโครงการเคเบิลใต้น้ำ รองรับบริการอินเตอร์เนต 1.5พันล. ตั้งเป้าแล้วเสร็จพร้อมบริการปี’58


แหล่ง ข่าวระดับสูงจาก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ได้ทำหน้าที่แรกในฐานะผู้ว่าการ รฟม.คนใหม่คือ เคลียร์ปัญหาข้อขัดแย้งภายในองค์กรถึงขั้นมีการฟ้องร้องกัน


โดย เฉพาะกรณีผู้บริหาร รฟม.มีคำสั่งแต่งตั้งกรรมการสอบวินัย นายชัยสิทธิ์ คุรุรัตน์ รองผู้ว่าการ รฟม.ในฐานะผู้ได้รับการสรรหาให้เป็นผู้ว่าการ รฟม. ประเด็นดังกล่าวทำให้รฟม.ต้องยกเลิกการสรรหาไปพร้อมมีมติให้โยกย้ายนายรณชิต แย้มสอาด และนายชัยสิทธิ์ คุรุรัตน์ ไปเป็นที่ปรึกษารฟม. แต่นายรณชิต เห็นว่ามติบอร์ดดังกล่าว ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยื่นประธานบอร์ดรฟม. (นางรัชนี ตรีพิพัฒน์กุล) ต่อศาลแรงงาน และศาลอาญา

สำหรับการยุติข้อ พิพาทนี้ นายยงสิทธิ์ได้เสนอแนวทางแก้ไขความขัดแย้งด้วยการให้คณะกรรมการ(บอร์ด)รฟม. อนุมัติคืนตำแหน่งรองผู้ว่าการ รฟม.แก่ นายชัยสิทธิ์ และนายรณชิต รวมทั้งยังได้เสนอปรับโครงสร้างใหม่เพิ่มตำแหน่งรองผู้ว่าการฯเป็น 5 คน และระดับผู้ช่วยผู้ว่าการฯอีก?6 คน รวมทั้งยังเสนอให้ตั้งผู้บริหารด้านการเงิน (ซีเอฟโอ) เพื่อปรับโครงสร้างทางการเงินของรฟม.อีกด้วย

“ล่าสุดผู้ว่าการรฟม.ก็ สามารถเจรจาจนกระทั่งนายรณชิต ยอมถอนฟ้องประธาน บอร์ดเพื่อยุติปัญหาขัดแย้งต่างๆ โดยรับปาก ที่จะให้ความร่วมมือกับบอร์ด และทำงานร่วมกับผู้ว่าการใหม่ ถือเป็นความสำเร็จเบื้องต้นของผู้ว่าการรฟม.คนใหม่ในการสลายขั้วความขัดแย้ง ภายในที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานมาโดยตลอด” แหล่งข่าวกล่าว

นายกิตติ ศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) กสท เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการอนุมติให้ กสท เป็นผู้เสนอตัวทำโครงการขยายจุดเชื่อมต่ออินเตอร์เนตเกตเวย์ในเอเชีย (เอพีจี) สำหรับบริการเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งได้มอบหมายให้ฝ่ายบริหารไปทำเอกสาร รายละเอียดโครงการ เพื่อเสนอนุมัติงบประมาณในการดำเนินการต่อ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)?ซึ่งเบื้องต้นนั้น กสท ได้จะทำเรื่องขอขยายวงเงินการดำเนินการจาก 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 300 ล้านบาท เป็น 51 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1,500 ล้านบาท

ขณะที่ ไอซีที เห็นชอบ ให้ดำเนินการจัดทำโครงการเอพีจีแล้ว ขั้นตอนต่อไป กสท จะเร่งเจรจา และลงนามร่วมกับภาคีประเทศสมาชิก คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายนนี้ จากนั้นเร่งดำเนินการติดตั้งในเอเชียแปซิฟิกน่าจะแล้วเสร็จในปี 2557 มีความยาวกว่า 8,000 กิโลเมตร มีจุดขึ้นบกในประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฮ่องกง ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย

สำหรับ โครงการเอพีจีนั้น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ แต่ทีโอทีไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับภาคีสมาชิกได้ ดังนั้น กสท จึงเสนอตัวขอทำแทน มั่นใจว่าแผนการขยายโครงการเอพีจีนั้น จะมาช่วยต่อยอดผลประกอบการในส่วนที่เป็นรายได้จากการดำเนินงานของ กสท เอง ซึ่งเป้าหมายสูงสุดขององค์กร คือ ต้องการเป็นศูนย์กลางด้านโครงข่ายเชื่อมต่ออินเตอร์เนตเกตเวย์ไปต่างประเทศ แถบอินโดไชน่า ประกอบด้วยพม่า ลาว และกัมพูชา

ทั้งนี้ หาก กสท ได้รับงบประมาณจาก ไอซีที ในการดำเนินงานโครงการเอพีจีนั้น เบื้องต้นประเมินว่า จะมีรายได้เข้ามาในปีแรกที่เปิดให้บริการ คือ ปี 2558 จำนวน 112 ล้านบาท ปี 2559 จำนวน 590 ล้านบาท ปี 2560 จำนวน 723 ล้านบาท ปี 2561 จำนวน 883 ล้านบาท และปี 2562 จำนวน 946 ล้านบาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะมีทั้งจากลูกค้าองค์กรในประเทศ และการขายช่องสัญญาณให้เช่าแบนด์วิธจากต่างประเทศ และมีการกำหนดระยะเวลาคุ้มทุนที่ 6 ปี

นอกจากนี้ การที่ไทยมีจุดเชื่อมต่ออินเตอร์เนตออกต่างประเทศ และมีจุดขึ้นบกหลายเส้นทางแล้ว จะเป็นส่วนเพิ่มปริมาณความจุโครงข่าย (คาปาซิตี้) ของแบรนด์วิธรวมในประเทศด้วย ซึ่งในปี 2558 ที่เปิดให้บริการปีแรก คาดว่าจะมีคาปาซิตี้ 50 กิกะไบต์ ปี 2559 เพิ่มเป็น 250 กิกะไบต์ และสุดท้ายในปี 2562 จะเพิ่มเป็น 1,000 กิกะไบต์

ส่วน รายได้ในปี 2555 นี้นายกิตติศักดิ์ คาดว่ารายได้จากธุรกิจสื่อสารข้อมูลจะมีมากกว่า 7,650 ล้านบาทซึ่งรายได้ในธุรกิจสื่อสารข้อมูลดังกล่าว คิดเป็น 15% ของรายได้รวมปีนี้

แนวหน้า
http://www.ryt9.com/s/nnd/1456905

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.