Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

20 สิงหาคม 2555 เสียวอะ ปปช. อาจชี้ สัญญา CAT TRUE โมฆะ // แหล่งข่าว วิ่ง พยายามเพื่อให้ความผิดจากหนักเป็นเบา++เหตุ หลักฐานชัด-มัดแน่น

เสียวอะ ปปช. อาจชี้ สัญญา CAT TRUE โมฆะ // แหล่งข่าว วิ่ง พยายามเพื่อให้ความผิดจากหนักเป็นเบา++เหตุ หลักฐานชัด-มัดแน่น


ประเด็นหลัก


ย่ำ ปปช. 28 ส.ค.55 ตัดสิน +++





แหล่ง ข่าวจากกสทช.กล่าวว่าจากการเข้าตรวจสอบของคณะทำงานพบว่าปัจจุบันบีเอฟเคทีมี การตั้งสถานีฐาน (ไซต์) ไปแล้วถึงประมาณ 7,500 ไซต์ ซึ่งเกินกว่าที่กสทได้รับอนุญาตจาก กสทช. และที่ผ่านมาบีเอฟเคทีมิเคยให้ กสท เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผน ขยายโครงข่ายทั้งสิ้น ซึ่งรวมถึงการบริหารโครงข่ายทั้งหมดด้วย

กสทยังได้ชี้แจงว่า ระบบที่เห็นยังมิใช่ระบบ NOC (Network operation Center) ตัวหลักที่บีเอฟเคทีใช้ควบคุมระบบทั้งหมด แต่เป็นเพียงระบบ NMS (จำนวน 7 terminal) ที่มีศักยภาพในการตรวจสอบและควบคุมโครงข่ายได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น โดยการเจรจาที่ผ่านมา กสท ได้แจ้งให้บีเอฟเคทีทราบแล้วว่าต้องย้ายระบบ NOC มาที่ กสท แต่จนถึงปัจจุบันบีเอฟเคทีก็ยังมิได้มีการดำเนินการแต่อย่างใด รวมทั้งบีเอฟเคทีก็ยังมิได้มีการดำเนินการส่ง CDR และระบบการ Generate CDR ของชุมสายทั้งหมดให้ กสท ด้วย

ทั้งนี้คณะทำงานจะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวให้กทค.พิจารณาต่อไป พร้อมทั้งเสนอความเห็นประกอบคือ 1.บีเอฟเคที มีการประกอบกิจการประเภทการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และ 2. บีเอฟเคทียังนำคลื่นความถี่ไปประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยในเบื้องต้นคณะทำงาน ยังมีความเห็นเรื่องแนวทางการดำเนินการดังนี้ 1. แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนต่อบีเอฟเคที 2. ให้บีเอฟเคทีดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการโทรคมนาคม 3. แจ้งให้ กสท ในฐานะผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ HSPA ซึ่งเช่าเครื่องและอุปกรณ์ที่มิชอบด้วยกฎหมายจากบีเอฟเคที จัดทำแผนรองรับการให้บริการอย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องและอุปกรณ์ รวมถึงโครงข่ายโทรคมนาคมของ กสท เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ

'ที่ผ่านมาการติดตั้งขยายโครงข่าย กสทมิได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผนพิจารณาแต่อย่างใด ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการโครงข่ายด้วย สำหรับบีเอฟเคที ที่อาจเข้าข่ายประกอบกิจการประเภทการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมโดยไม่ได้ รับใบอนุญาตและนำคลื่นความถี่ไปประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดทางอาญา ตามม.67 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 หากพบมีการกระทำผิดจริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและศาลสั่งริบเครื่องอุปกรณ์ได้ทันที'


แหล่ง ข่าวในวงการโทรคมนาคมกล่าวว่าระยะเวลาที่ทอดนานออกไป มีความเป็นไปได้สูงที่จะให้เวลานักวิ่งเท้าทองทั้งหลาย เสกเป่าผลสอบที่คณะทำงานสรุปในเบื้องต้นออกมา ในทำนองผ่อนหนักกลายเป็นเบา แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อผลสอบดังกล่าวได้มีการรับรู้กันในวงกว้างแล้ว หากมีการกระทำที่ฝืนกระแสหรือทวนน้ำ ก็อาจเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้




น.ท.สม พงษ์ โพธิ์เกษม คณะกรรมการบริหาร บมจ.กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า ประเด็นที่ยังเป็นปัญหาหลัก คือ กรณีที่ TRUE นำคลื่นความถี่ที่อยู่ในสัญญาไปบริหารเอง ซึ่งตามหลักแล้วคลื่นความถี่เป็นของ กสท จึงเป็นสิ่งที่ กสท ยอมไม่ได้ ขณะนี้ กสทฯ จึงรอการวินิจฉัยของของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.) ที่ขณะนี้คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.จะประชุมและสรุปผลการตรวจสอบสัญญาทั้งหมดในวันที่ 28 ส.ค.55 นี้ ก่อนที่จะเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่เป็นผู้ตัดสิน

ที่ผ่านมา จากแนวโน้มคำตัดสินของอนุกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลมาแล้วว่าสัญญาดังกล่าวมีความผิดทั้งต่อ พ.ร.บ.ร่วมทุน และ มาตรา 46 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 หรือ พ.ร.บ.กสทช. หากคณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยว่าสัญญาดังกล่าวมีความผิด กสท ก็จะถือเอามติของ ป.ป.ช.เป็นหลักและถือว่าสัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ





_________________________________________

หลักฐานมัดแน่น 'บีเอฟเคที' ผิดม.67



เผย ผลสอบบีเอฟเคที พบประกอบกิจการและนำความถี่ไปให้บริการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีความผิดตาม ม.67 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 หลักฐานแน่นดิ้นไม่หลุด ทั้งขยายไซต์เกินกว่าที่กสทได้รับอนุญาตจากกสทช. บริหารจัดการทั้งโครงข่ายและความถี่โดยกสทถูกกันออกวงนอก คณะทำงานเสนอ 3 แนวทางแก้ปัญหา พบความผิดมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและศาลสั่งริบเครื่องอุปกรณ์ได้ทันที

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มี นายองอาจ เรืองรุ่งโสม ผู้อำนวยการกลุ่มงาน (บ2) กลุ่มงานการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม 1 เป็นประธาน ได้เข้าตรวจสอบตามการมอบหมายของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ที่มีพ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธานกทค. กรณีบริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) ตั้งแต่วันที่เข้าทำสัญญาเกี่ยวกับการให้บริการโทรศัพท์มือถือรูปแบบใหม่บน คลื่นความถี่ 800 MHz กับกสทเป็นต้นมาว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 67 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 หรือเข้าข่ายประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตหรือไม่นั้น

ในวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมาได้มีการเชิญผู้แทนจากบริษัท กสท โทรคมนาคม และบริษัท บีเอฟเคที มาให้ข้อมูล พร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่ได้ทำการเข้าตรวจสอบระบบควบคุมโครงข่าย HSPA (NOC/NMS) ที่บีเอฟเคทีเป็นผู้จัดหาและให้บริการโครงข่ายแก่ กสท ภายใต้สัญญา กสท-ทรู ซึ่งระบบดังกล่าวตั้งอยู่ที่ กสท บางรัก

'จากเดิมที่คณะทำงานขอขยายเวลาตรวจสอบ ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 27 ส.ค.ที่จะถึงนี้ แต่คาดว่าน่าจะสรุปไม่ทัน ทำให้อาจต้องขยายเวลาออกไปอีก 15 หรือ 30 วันเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นต้องสรุปส่งให้กทค.พิจารณา สำหรับในตอนนี้คาดว่าคณะทำงานจะไม่มีการเรียกใครเข้าพบเพื่อชี้แจงราย ละเอียดในประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติมอีกแล้ว'

แหล่งข่าวจากกสทช.กล่าวว่าจากการเข้าตรวจสอบของคณะทำงานพบว่าปัจจุบันบีเอ ฟเคทีมีการตั้งสถานีฐาน (ไซต์) ไปแล้วถึงประมาณ 7,500 ไซต์ ซึ่งเกินกว่าที่กสทได้รับอนุญาตจาก กสทช. และที่ผ่านมาบีเอฟเคทีมิเคยให้ กสท เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผน ขยายโครงข่ายทั้งสิ้น ซึ่งรวมถึงการบริหารโครงข่ายทั้งหมดด้วย

กสทยังได้ชี้แจงว่า ระบบที่เห็นยังมิใช่ระบบ NOC (Network operation Center) ตัวหลักที่บีเอฟเคทีใช้ควบคุมระบบทั้งหมด แต่เป็นเพียงระบบ NMS (จำนวน 7 terminal) ที่มีศักยภาพในการตรวจสอบและควบคุมโครงข่ายได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น โดยการเจรจาที่ผ่านมา กสท ได้แจ้งให้บีเอฟเคทีทราบแล้วว่าต้องย้ายระบบ NOC มาที่ กสท แต่จนถึงปัจจุบันบีเอฟเคทีก็ยังมิได้มีการดำเนินการแต่อย่างใด รวมทั้งบีเอฟเคทีก็ยังมิได้มีการดำเนินการส่ง CDR และระบบการ Generate CDR ของชุมสายทั้งหมดให้ กสท ด้วย

ทั้งนี้คณะทำงานจะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวให้กทค.พิจารณาต่อไป พร้อมทั้งเสนอความเห็นประกอบคือ 1.บีเอฟเคที มีการประกอบกิจการประเภทการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และ 2. บีเอฟเคทียังนำคลื่นความถี่ไปประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยในเบื้องต้นคณะทำงาน ยังมีความเห็นเรื่องแนวทางการดำเนินการดังนี้ 1. แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนต่อบีเอฟเคที 2. ให้บีเอฟเคทีดำเนินการยื่นคำขอรับใบอนุญาตการประกอบกิจการโทรคมนาคม 3. แจ้งให้ กสท ในฐานะผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือระบบ HSPA ซึ่งเช่าเครื่องและอุปกรณ์ที่มิชอบด้วยกฎหมายจากบีเอฟเคที จัดทำแผนรองรับการให้บริการอย่างต่อเนื่องด้วยเครื่องและอุปกรณ์ รวมถึงโครงข่ายโทรคมนาคมของ กสท เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ

'ที่ผ่านมาการติดตั้งขยายโครงข่าย กสทมิได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการวางแผนพิจารณาแต่อย่างใด ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการโครงข่ายด้วย สำหรับบีเอฟเคที ที่อาจเข้าข่ายประกอบกิจการประเภทการให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคมโดยไม่ได้ รับใบอนุญาตและนำคลื่นความถี่ไปประกอบกิจการโทรคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดทางอาญา ตามม.67 พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม 2544 หากพบมีการกระทำผิดจริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับและศาลสั่งริบเครื่องอุปกรณ์ได้ทันที'

แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคมกล่าวว่าระยะเวลาที่ทอดนานออกไป มีความเป็นไปได้สูงที่จะให้เวลานักวิ่งเท้าทองทั้งหลาย เสกเป่าผลสอบที่คณะทำงานสรุปในเบื้องต้นออกมา ในทำนองผ่อนหนักกลายเป็นเบา แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อผลสอบดังกล่าวได้มีการรับรู้กันในวงกว้างแล้ว หากมีการกระทำที่ฝืนกระแสหรือทวนน้ำ ก็อาจเกิดปัญหาตามมาภายหลังได้


ASTV ผู้จัดการ
http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9550000102185


_________________________________________

กสท.เฝ้ารอผล ป.ป.ช.หวังยืดเป็นหลักแก้สัญญา TRUE, ดันงบ 1 พันลบ.ลงมาย




น.ท.สม พงษ์ โพธิ์เกษม คณะกรรมการบริหาร บมจ.กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ กสท.รับทราบรายงานความคืบหน้าการเจรจากับฝ่ายกฏหมายของกลุ่ม บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น(TRUE) เกี่ยวกับการแก้ไขสัญญา 3 จี HSPA ให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.)ได้มีมติให้แก้ไขใน ประเด็นหลัก 6 ข้อ ซึ่งจะเร่งดำเนินการให้เสร็จภายในเดือน ส.ค.นี้


อย่าง ไรก็ตาม ประเด็นที่ยังเป็นปัญหาหลัก คือ กรณีที่ TRUE นำคลื่นความถี่ที่อยู่ในสัญญาไปบริหารเอง ซึ่งตามหลักแล้วคลื่นความถี่เป็นของ กสท จึงเป็นสิ่งที่ กสท ยอมไม่ได้ ขณะนี้ กสทฯ จึงรอการวินิจฉัยของของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.) ที่ขณะนี้คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.จะประชุมและสรุปผลการตรวจสอบสัญญาทั้งหมดในวันที่ 28 ส.ค.55 นี้ ก่อนที่จะเสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่เป็นผู้ตัดสิน

ที่ผ่านมา จากแนวโน้มคำตัดสินของอนุกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลมาแล้วว่าสัญญาดังกล่าวมีความผิดทั้งต่อ พ.ร.บ.ร่วมทุน และ มาตรา 46 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 หรือ พ.ร.บ.กสทช. หากคณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยว่าสัญญาดังกล่าวมีความผิด กสท ก็จะถือเอามติของ ป.ป.ช.เป็นหลักและถือว่าสัญญาดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ

พร้อม กันนั้น คณะกรรมการ กสท.ยังมอบหมายให้คณะทำงานไปจัดทำตัวเลขงบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทเพื่อลงทุนในแบรนด์ 3 จี“มาย"เพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยปัจจุบันลูกค้าที่โอนย้ายมาใน"มาย"มีจำนวนราว 8-9 หมื่นราย และอยู่ระหว่างการโอนย้ายอีกกว่า 2 แสนเลขหมาย ซึ่งตามแผนธุรกิจที่วางไว้หาก กสท มีลูกค้า 3จี"มาย"อยู่ที่ 1 ล้านราย จะสามารถทำให้ กสท มีรายได้ประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท โดยคาดว่างบประมาณดังกล่าวจะได้รับอนุมัติในการประชุมคณะกรรกมาครั้งต่อไป เพื่อที่ กสท จะสามารถผลักดันธุรกิจ 3จี ได้ทันที

อินโฟเควสท์
http://www.ryt9.com/s/iq05/1471339

ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.