Header Ads

Screen-Shot-2561-02-24-at-11.53.29-PM.png
Breaking News
recent

16 เมษายน 2556 มีเดียมอนิเตอร์ ชี้ กสทช. กำหนดเกณฑ์สื่อเพื่อบริการสาธารณะทยังไม่ชัดเจน!!! เมื่อสำรวจ THAIpbs คำว่าสาระบันเทิง 26% คืออะไร!! // ช่อง 11 ต้องเพื่อส่วนประชาชน

ประเด็นหลัก



ทั้งนี้ จากผลการศึกษาพบว่า สำหรับสถานีที่ออกอากาศวันละ 24 ชั่วโมง มีเวลาออกอากาศในช่วงเวลาที่ศึกษา หรือใน 1 สัปดาห์ เป็นจำนวน 10,080 นาที/สถานี แต่ช่องไทยพีบีเอสซึ่งมีเวลาออกอากาศวันละ 21 ชั่วโมง มีเวลาออกอากาศในช่วงเวลาที่ศึกษา หรือใน 1 สัปดาห์ เป็นจำนวน 8,820 นาที ดังนั้น จึงขอสรุปผลการศึกษาและข้อเสนอ ต่อแนวทางการประกอบกิจการเพื่อบริการสาธารณะของ ช่องไทยพีบีเอส ดังนี้

1. จากการสำรวจผังรายการช่องไทยพีบีเอส ช่วงวันที่ 15-21 มกราคม 2556  รวมเวลาออกอากาศ 8,820 นาที และ หากจัดกลุ่มเนื้อหารายการตามเกณฑ์ของ กสทช. และเกณฑ์อื่นที่กำหนดแล้ว สัดส่วนรายการที่พบมากที่สุด คือ รายการข่าวสาร รวม 3,770 นาที/สัปดาห์ หรือ 43%  รองลงมาคือรายการสาระประโยชน์ รวม 3,016 นาที/สัปดาห์ หรือ 34%   ที่เหลือเป็นรายการสาระบันเทิง รวม 2,034 นาที/สัปดาห์ หรือ 23%

2. เมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของ กสทช. ที่ระบุให้กิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ประเภทบริการสาธารณะ ต้องมีสัดส่วนรายการที่เป็นข่าวสาร หรือ สาระที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะไม่น้อยกว่า 70% ผลการศึกษาพบว่า ช่องไทยพีบีเอส มีรายการข่าวสาร 43% และ สาระประโยชน์ 34% รวมแล้วเป็น 77% หากพิจารณาตามเกณฑ์ กสทช. พบว่า มีรายการที่ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มข่าวสารและสาระประโยชน์ เป็นจำนวน 23.06% แต่เมื่อพิจารณาจากหลักเกณฑ์ของ ส.ส.ท. พบว่าสามารถจัดอยู่ในประเภทรายการสาระบันเทิง ซึ่งเป็นกลุ่มเนื้อหาที่ กสทช.ไม่ได้ระบุถึง

3. จากการวิเคราะห์ผังและเนื้อหารายการตามเกณฑ์ ส.ส.ท. พบว่า ไทยพีบีเอสมีสัดส่วนรายการข่าวสาร 43% สาระประโยชน์  31% และสาระบันเทิง  26%

4. โดยสรุป พบว่า เกณฑ์ของ ส.ส.ท. ให้คำนิยาม หรือกำหนดลักษณะรายการในประเภทสาระประโยชน์ได้ชัดเจนในรายละเอียดมากกว่าเกณฑ์ของ กสทช. อันมีผลให้จำนวนรายการสาระประโยชน์และรายการสาระบันเทิงตามเกณฑ์ กสทช. และเกณฑ์ ส.ส.ท. มีจำนวนไม่เท่ากัน โดยรายการสาระประโยชน์ตามเกณฑ์ กสทช.นั้นมีมากกว่า (กสทช. 50 รายการ ส.ส.ท. 45 รายการ) และบางรายการที่เป็นรายการสาระประโยชน์ตามเกณฑ์ กสทช.  แต่เมื่อพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ ส.ส.ท.ถูกจัดเป็นรายการสาระบันเทิง เช่น รายการสำแดงศิลป์ รายการ Food Work รายการหลงกรุง รายการจังหวะจะเดิน รายการชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร  เป็นต้น ขณะเดียวกัน มีบางรายการเช่น รายการคนกล้าฝัน ที่จัดเป็นรายการสาระประโยชน์ ทั้งตามเกณฑ์ กสทช. และ ส.ส.ท. แต่เกณฑ์ ส.ส.ท. มีการระบุเจาะจงมากขึ้นว่าเป็นรายการสาระประโยชน์ที่มีเนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจ  จึงทำให้ เมื่อใช้เกณฑ์ของ กสทช. ที่แบ่งประเภทเนื้อหาเป็นข่าวสาร และ สาระประโยชน์  ไทยพีบีเอสจะมีเนื้อหาของสื่อเพื่อบริการสาธารณะ ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าความเป็นจริงของสื่อเพื่อบริการสาธารณะ

5. รายการต่างๆ ในกลุ่มสาระประโยชน์ของช่องไทยพีบีเอส เป็นรายการที่มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ และการศึกษาในสาขาต่างๆ แม้แต่รายการสาระบันเทิงที่เป็นการ์ตูน ละคร ซิทคอม หรือภาพยนตร์ ก็มีลักษณะเป็นรายการที่มีเนื้อหาสาระ ให้ความบันเทิง สอดแทรกความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกิจการโทรทัศน์เพื่อบริการสาธารณะ (ประเภทที่หนึ่ง) ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย

สำหรับข้อเสนอ มี 2 ข้อ ประกอบด้วย 1. กสทช.ควรปรับหลักเกณฑ์การกำหนดประเภทเนื้อหาของแต่ละประเภทการบริการสาธารณะ อย่างชัดเจนในรายละเอียด เช่น ของไทยพีบีเอส เพื่อการตรวจสอบได้ว่า ผู้ประกอบการสื่อเพื่อบริการสาธารณะ มีการจัดทำเนื้อหาและผังรายการสอดคล้องกับความเป็นสื่อสาธารณะประเภทนั้นๆ  หรือไม่ และ 2. ส.ส.ท.ควรยืนยันที่จะกำหนดผังรายการและเนื้อหา ตามแนวนโยบายที่กำหนดตาม พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 เพราะมีรายละเอียดมากกว่าเกณฑ์ของ กสทช. และหากไทยพีบีเอสจะใช้เกณฑ์ กสทช.ในการประเมินสัดส่วนประเภทรายการ ก็ควรมีการอธิบายเพิ่มเติม เพื่อการจำแนกสัดส่วนจะได้ไม่ถูกจำกัดด้วยเกณฑ์ของ กสทช.ที่ขาดรายละเอียดอย่างที่ควรจะเป็น.






1. จากการวิเคราะห์ผังและเนื้อหารายการ พบว่า สัดส่วนรายการของช่อง 11 ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ศึกษา มีสัดส่วนรายการที่เป็นข่าวสาร 5,055 นาที/สัปดาห์หรือ 50% ขณะที่สัดส่วนรายการสาระที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ 4,100 นาที หรือ 41% เมื่อรวมแล้วเป็น 9,155 นาที หรือ  91%



2. ช่อง สทท. 11 มีสัดส่วนข่าวสารสูงกว่าสัดส่วนสาระที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่เนื้อหาที่นำเสนอส่วนใหญ่เป็นข้อมูลของภาครัฐเป็นหลัก เช่น นโยบาย และกิจกรรมต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่มีการนำเสนอข้อมูลและความคิดเห็นของภาคประชาชน รวมทั้งภาคส่วนอื่น ในสัดส่วนที่น้อยกว่า



3. ผังรายการและสัดส่วนรายการของช่อง สทท.11 ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา นับว่า มีเนื้อหาที่สะท้อนบริการสาธารณะประเภทที่สาม คือ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระจายข้อมูลข่าวสาร เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชนและรัฐสภากับประชาชน การกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อการส่งเสริมสนับสนุนในการเผยแพร่และให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข บริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะแก่คนพิการ คนด้อยโอกาส หรือกลุ่มความสนใจที่มีกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือบริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะอื่น” ทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจหลักของสถานีที่กำหนดว่า เป็นสถานีหลักในด้านข่าวสารความรู้และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสรับรู้ เกิดความรู้ความเข้าใจ สามารถนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิต” ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ในกลุ่มรายการสาระประโยชน์จำนวนรวม 4,100 นาที/สัปดาห์นั้น มีเนื้อหาเพื่อคุณภาพชีวิต จำนวน 691 นาที/สัปดาห์ ในขณะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการส่งเสริมประชาธิปไตยเพียง 130 นาที/สัปดาห์  ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย



4. จากการศึกษายังพบการโฆษณาสินค้าและบริการที่เป็นโฆษณาตรงในช่วงของรายการข่าวกีฬา ข่าวสิ่งแวดล้อม รายการเกษตร และรายการด้านเทคโนโลยี เช่น Thailand Mega Show, East Water, PTT Group, กะทิชาวเกาะ เป็นต้น และพบการโฆษณาแฝงของสินค้าและบริการในช่วงของรายการข่าว รายการเกษตรและรายการให้ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ เช่น APF (อำพลฟู้ดส์), FBT, ซาร่า เป็นต้น ทั้งยังพบรายการที่มีผู้สนับสนุนเป็นองค์กรต่างๆ เช่น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน การไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น โดยเนื้อหารายการ เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรที่สนับสนุน



สำหรับ ข้อเสนอ มี 3 ประการ ประกอบด้วย 1. ช่อง 11 ควรปรับเนื้อหาจากการเน้นที่ภาครัฐเป็นหลัก ให้มีการเพิ่มสัดส่วนเนื้อหาจากภาคอื่นของสังคม เช่น ภาคประชาชน ภาควิชาการ เป็นต้น และหากช่อง 11 ต้องการเป็นสื่อสาธารณะประเภทที่สามซึ่งมีวัตถุประสงค์ดังระบุข้างต้น ก็ต้องเพิ่มเนื้อหาและสัดส่วนเวลากับจำนวนรายการเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนรายการที่เป็นประโยชน์หรือตอบสนองต่อความต้องการของคนพิการ คนด้อยโอกาส หรือกลุ่มคนชายขอบ  อีกทั้ง เนื้อหารายการโดยภาพรวม ควรให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่ประชาชนผู้ชมจะได้รับ มากกว่าเพื่อตอบสนองประโยชน์ขององค์กร/หน่วยงานที่สนับสนุนรายการ ทั้งนี้เพื่อให้ช่อง 11 เป็นสื่อสาธารณะเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
























_____________________________________


เสนอ กสทช. คุมไทยพีบีเอส ใช้เกณฑ์สื่อสาธารณะให้ชัด


มีเดียมอนิเตอร์ เสนอ กสทช. กำหนดให้ไทยพีบีเอสใช้เกณฑ์ขององค์การประกบของ กสทช. ซึ่งกำหนดเกณฑ์สื่อเพื่อบริการสาธารณะที่ชัดเจน...

รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการเสริมสร้างสื่อมวลชนศึกษาเพื่อสุขภาวะ (มีเดียมอนิเตอร์) เผยการสำรวจ การศึกษาผังรายการเพื่อวิเคราะห์ทิศทางการประกอบกิจการบริการสาธารณะของฟรีทีวีคือ หัวข้อที่โครงการมีเดียมอนิเตอร์ มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา ทำการศึกษาผังรายการของช่องไทยพีบีเอส ออกอากาศระหว่างวันที่ 15-21 ม.ค. 2556 ที่ผ่านมา โดยวิเคราะห์ผังและเนื้อหารายการ เพื่อจำแนกสัดส่วนรายการประเภท ข่าวสาร สาระประโยชน์ สาระบันเทิง บันเทิง และอื่นๆ โดยอ้างอิงและเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์ของ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และหลักเกณฑ์อื่นที่กำหนดในการศึกษาครั้งนี้ เช่น คำอธิบายลักษณะรายการสาระบันเทิง บันเทิง โฆษณาบริการธุรกิจ  ที่มีเดียมอนิเตอร์เคยกำหนดในการศึกษาเรื่องผังรายการโทรทัศน์  และนโยบายด้านรายการและแผนการจัดทำรายการขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์เฉพาะช่องไทยพีบีเอส

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาพบว่า สำหรับสถานีที่ออกอากาศวันละ 24 ชั่วโมง มีเวลาออกอากาศในช่วงเวลาที่ศึกษา หรือใน 1 สัปดาห์ เป็นจำนวน 10,080 นาที/สถานี แต่ช่องไทยพีบีเอสซึ่งมีเวลาออกอากาศวันละ 21 ชั่วโมง มีเวลาออกอากาศในช่วงเวลาที่ศึกษา หรือใน 1 สัปดาห์ เป็นจำนวน 8,820 นาที ดังนั้น จึงขอสรุปผลการศึกษาและข้อเสนอ ต่อแนวทางการประกอบกิจการเพื่อบริการสาธารณะของ ช่องไทยพีบีเอส ดังนี้

1. จากการสำรวจผังรายการช่องไทยพีบีเอส ช่วงวันที่ 15-21 มกราคม 2556  รวมเวลาออกอากาศ 8,820 นาที และ หากจัดกลุ่มเนื้อหารายการตามเกณฑ์ของ กสทช. และเกณฑ์อื่นที่กำหนดแล้ว สัดส่วนรายการที่พบมากที่สุด คือ รายการข่าวสาร รวม 3,770 นาที/สัปดาห์ หรือ 43%  รองลงมาคือรายการสาระประโยชน์ รวม 3,016 นาที/สัปดาห์ หรือ 34%   ที่เหลือเป็นรายการสาระบันเทิง รวม 2,034 นาที/สัปดาห์ หรือ 23%

2. เมื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของ กสทช. ที่ระบุให้กิจการกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ประเภทบริการสาธารณะ ต้องมีสัดส่วนรายการที่เป็นข่าวสาร หรือ สาระที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะไม่น้อยกว่า 70% ผลการศึกษาพบว่า ช่องไทยพีบีเอส มีรายการข่าวสาร 43% และ สาระประโยชน์ 34% รวมแล้วเป็น 77% หากพิจารณาตามเกณฑ์ กสทช. พบว่า มีรายการที่ไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มข่าวสารและสาระประโยชน์ เป็นจำนวน 23.06% แต่เมื่อพิจารณาจากหลักเกณฑ์ของ ส.ส.ท. พบว่าสามารถจัดอยู่ในประเภทรายการสาระบันเทิง ซึ่งเป็นกลุ่มเนื้อหาที่ กสทช.ไม่ได้ระบุถึง

3. จากการวิเคราะห์ผังและเนื้อหารายการตามเกณฑ์ ส.ส.ท. พบว่า ไทยพีบีเอสมีสัดส่วนรายการข่าวสาร 43% สาระประโยชน์  31% และสาระบันเทิง  26%

4. โดยสรุป พบว่า เกณฑ์ของ ส.ส.ท. ให้คำนิยาม หรือกำหนดลักษณะรายการในประเภทสาระประโยชน์ได้ชัดเจนในรายละเอียดมากกว่าเกณฑ์ของ กสทช. อันมีผลให้จำนวนรายการสาระประโยชน์และรายการสาระบันเทิงตามเกณฑ์ กสทช. และเกณฑ์ ส.ส.ท. มีจำนวนไม่เท่ากัน โดยรายการสาระประโยชน์ตามเกณฑ์ กสทช.นั้นมีมากกว่า (กสทช. 50 รายการ ส.ส.ท. 45 รายการ) และบางรายการที่เป็นรายการสาระประโยชน์ตามเกณฑ์ กสทช.  แต่เมื่อพิจารณาโดยใช้เกณฑ์ ส.ส.ท.ถูกจัดเป็นรายการสาระบันเทิง เช่น รายการสำแดงศิลป์ รายการ Food Work รายการหลงกรุง รายการจังหวะจะเดิน รายการชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร  เป็นต้น ขณะเดียวกัน มีบางรายการเช่น รายการคนกล้าฝัน ที่จัดเป็นรายการสาระประโยชน์ ทั้งตามเกณฑ์ กสทช. และ ส.ส.ท. แต่เกณฑ์ ส.ส.ท. มีการระบุเจาะจงมากขึ้นว่าเป็นรายการสาระประโยชน์ที่มีเนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจ  จึงทำให้ เมื่อใช้เกณฑ์ของ กสทช. ที่แบ่งประเภทเนื้อหาเป็นข่าวสาร และ สาระประโยชน์  ไทยพีบีเอสจะมีเนื้อหาของสื่อเพื่อบริการสาธารณะ ในสัดส่วนที่ต่ำกว่าความเป็นจริงของสื่อเพื่อบริการสาธารณะ

5. รายการต่างๆ ในกลุ่มสาระประโยชน์ของช่องไทยพีบีเอส เป็นรายการที่มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ และการศึกษาในสาขาต่างๆ แม้แต่รายการสาระบันเทิงที่เป็นการ์ตูน ละคร ซิทคอม หรือภาพยนตร์ ก็มีลักษณะเป็นรายการที่มีเนื้อหาสาระ ให้ความบันเทิง สอดแทรกความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกิจการโทรทัศน์เพื่อบริการสาธารณะ (ประเภทที่หนึ่ง) ตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย

สำหรับข้อเสนอ มี 2 ข้อ ประกอบด้วย 1. กสทช.ควรปรับหลักเกณฑ์การกำหนดประเภทเนื้อหาของแต่ละประเภทการบริการสาธารณะ อย่างชัดเจนในรายละเอียด เช่น ของไทยพีบีเอส เพื่อการตรวจสอบได้ว่า ผู้ประกอบการสื่อเพื่อบริการสาธารณะ มีการจัดทำเนื้อหาและผังรายการสอดคล้องกับความเป็นสื่อสาธารณะประเภทนั้นๆ  หรือไม่ และ 2. ส.ส.ท.ควรยืนยันที่จะกำหนดผังรายการและเนื้อหา ตามแนวนโยบายที่กำหนดตาม พ.ร.บ.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 เพราะมีรายละเอียดมากกว่าเกณฑ์ของ กสทช. และหากไทยพีบีเอสจะใช้เกณฑ์ กสทช.ในการประเมินสัดส่วนประเภทรายการ ก็ควรมีการอธิบายเพิ่มเติม เพื่อการจำแนกสัดส่วนจะได้ไม่ถูกจำกัดด้วยเกณฑ์ของ กสทช.ที่ขาดรายละเอียดอย่างที่ควรจะเป็น.







โดย: ไทยรัฐออนไลน์
http://m.thairath.co.th/content/tech/338849


______________________________________



มีเดียมอนิเตอร์ เสนอช่อง11 ปรับเนื้อหาเน้นสาธารณประโยชน์


มีเดียมอนิเตอร์ ทำการศึกษาผังรายการของช่อง 11 พร้อมเสนอปรับเนื้อหา-เพิ่มสัดส่วนภาค ปชช. เน้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ...

รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการเสริมสร้างสื่อมวลชนศึกษาเพื่อสุขภาวะ (มีเดียมอนิเตอร์) เผยการสำรวจ การศึกษาผังรายการเพื่อวิเคราะห์ทิศทางการประกอบกิจการบริการสาธารณะของฟรีทีวีคือ หัวข้อที่โครงการมีเดียมอนิเตอร์ มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา ทำการศึกษาผังรายการของช่อง 11 ออกอากาศระหว่างวันที่ 15-21 ม.ค. 2556 ที่ผ่านมา โดยวิเคราะห์ผังและเนื้อหารายการ เพื่อจำแนกสัดส่วนรายการประเภท ข่าวสาร สาระประโยชน์ สาระบันเทิง บันเทิง และอื่นๆ โดยอ้างอิงและเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์ของ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และหลักเกณฑ์อื่นที่กำหนดในการศึกษาครั้งนี้ เช่น คำอธิบายลักษณะรายการสาระบันเทิง บันเทิง โฆษณาบริการธุรกิจ  ที่มีเดียมอนิเตอร์เคยกำหนดในการศึกษาเรื่องผังรายการโทรทัศน์  และนโยบายด้านรายการและแผนการจัดทำรายการขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ซึ่งใช้เป็นเกณฑ์ในการวิเคราะห์เฉพาะช่องไทยพีบีเอส โดยสรุปผลการศึกษาและข้อเสนอ ต่อแนวทางการประกอบกิจการเพื่อบริการสาธารณะดังนี้

1. จากการวิเคราะห์ผังและเนื้อหารายการ พบว่า สัดส่วนรายการของช่อง 11 ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ศึกษา มีสัดส่วนรายการที่เป็นข่าวสาร 5,055 นาที/สัปดาห์หรือ 50% ขณะที่สัดส่วนรายการสาระที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ 4,100 นาที หรือ 41% เมื่อรวมแล้วเป็น 9,155 นาที หรือ  91%



2. ช่อง สทท. 11 มีสัดส่วนข่าวสารสูงกว่าสัดส่วนสาระที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แต่เนื้อหาที่นำเสนอส่วนใหญ่เป็นข้อมูลของภาครัฐเป็นหลัก เช่น นโยบาย และกิจกรรมต่างๆ เป็นต้น ในขณะที่มีการนำเสนอข้อมูลและความคิดเห็นของภาคประชาชน รวมทั้งภาคส่วนอื่น ในสัดส่วนที่น้อยกว่า



3. ผังรายการและสัดส่วนรายการของช่อง สทท.11 ในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา นับว่า มีเนื้อหาที่สะท้อนบริการสาธารณะประเภทที่สาม คือ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระจายข้อมูลข่าวสาร เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชนและรัฐสภากับประชาชน การกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อการส่งเสริมสนับสนุนในการเผยแพร่และให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข บริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะแก่คนพิการ คนด้อยโอกาส หรือกลุ่มความสนใจที่มีกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือบริการข้อมูลข่าวสารอันเป็นประโยชน์สาธารณะอื่นทั้งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และพันธกิจหลักของสถานีที่กำหนดว่า เป็นสถานีหลักในด้านข่าวสารความรู้และการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสรับรู้ เกิดความรู้ความเข้าใจ สามารถนำไปพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ในกลุ่มรายการสาระประโยชน์จำนวนรวม 4,100 นาที/สัปดาห์นั้น มีเนื้อหาเพื่อคุณภาพชีวิต จำนวน 691 นาที/สัปดาห์ ในขณะที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการส่งเสริมประชาธิปไตยเพียง 130 นาที/สัปดาห์  ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย



4. จากการศึกษายังพบการโฆษณาสินค้าและบริการที่เป็นโฆษณาตรงในช่วงของรายการข่าวกีฬา ข่าวสิ่งแวดล้อม รายการเกษตร และรายการด้านเทคโนโลยี เช่น Thailand Mega Show, East Water, PTT Group, กะทิชาวเกาะ เป็นต้น และพบการโฆษณาแฝงของสินค้าและบริการในช่วงของรายการข่าว รายการเกษตรและรายการให้ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ เช่น APF (อำพลฟู้ดส์), FBT, ซาร่า เป็นต้น ทั้งยังพบรายการที่มีผู้สนับสนุนเป็นองค์กรต่างๆ เช่น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ธนาคารออมสิน การไฟฟ้านครหลวง เป็นต้น โดยเนื้อหารายการ เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรที่สนับสนุน



สำหรับ ข้อเสนอ มี 3 ประการ ประกอบด้วย 1. ช่อง 11 ควรปรับเนื้อหาจากการเน้นที่ภาครัฐเป็นหลัก ให้มีการเพิ่มสัดส่วนเนื้อหาจากภาคอื่นของสังคม เช่น ภาคประชาชน ภาควิชาการ เป็นต้น และหากช่อง 11 ต้องการเป็นสื่อสาธารณะประเภทที่สามซึ่งมีวัตถุประสงค์ดังระบุข้างต้น ก็ต้องเพิ่มเนื้อหาและสัดส่วนเวลากับจำนวนรายการเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งเพิ่มสัดส่วนรายการที่เป็นประโยชน์หรือตอบสนองต่อความต้องการของคนพิการ คนด้อยโอกาส หรือกลุ่มคนชายขอบ  อีกทั้ง เนื้อหารายการโดยภาพรวม ควรให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่ประชาชนผู้ชมจะได้รับ มากกว่าเพื่อตอบสนองประโยชน์ขององค์กร/หน่วยงานที่สนับสนุนรายการ ทั้งนี้เพื่อให้ช่อง 11 เป็นสื่อสาธารณะเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง



2. ช่อง 11 ควรปฏิบัติตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ของ กสทช. ที่กำหนดว่า การประกอบกิจการบริการสาธารณะประเภทที่หนึ่งและประเภทที่สาม หารายได้จากการโฆษณาไม่ได้ เว้นแต่เป็นการหารายได้โดยการโฆษณาหรือเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับงานหรือกิจการของหน่วยงานรัฐ  รัฐวิสาหกิจ สมาคม มูลนิธิ หรือนิติบุคคลอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์สาธารณะ โดยไม่แสวงหากำไรในทางธุรกิจ หรือ การเสนอภาพลักษณ์ขององค์กร บริษัท และกิจการ โดยมิได้มีการโฆษณาสรรพคุณ คุณประโยชน์ หรือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม



และ 3. กสทช. ควรกำหนดหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนของลักษณะเนื้อหารายการที่ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างรัฐบาลกับประชาชนและรัฐสภากับประชาชน” “การกระจายข้อมูลข่าวสารเพื่อการส่งเสริมสนับสนุนในการเผยแพร่และให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทั้งนี้ เพื่อผลในทางปฏิบัติด้านการผลิตรายการ และการตรวจสอบ การประกอบกิจการบริการสาธารณะ ประเภทที่สาม.











โดย: ไทยรัฐออนไลน์

__________________________________


ไม่มีความคิดเห็น:

So Magawn ( รวบรวบประวัติศาสตร์โทรคมนาคมและการสือสารไทย ). ขับเคลื่อนโดย Blogger.