18 เมษายน 2556 AIS DTAC จับแนวโน้ม ตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ปีนี้อาจสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะการสร้างแอปพลิเคชั่น
ประเด็นหลัก
นายปรัธนา ลีลพนัง รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ระบุว่า มูลค่าตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ปีนี้อาจสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท โตขึ้นประมาณ 15% จากการเติบโตของสมาร์ทโฟน และการใช้งานระบบ 3G โดยปัจจุบันการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หรือคอนเทนต์ต่าง ๆ แทบจะเป็นการใช้งานผ่านสมาร์ทดีไวซ์ทั้งหมด ทำให้เวลาในการใช้งานบนหน้าจอเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้น
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้นักพัฒนาหน้าใหม่เริ่มคิดค้นแอปพลิเคชั่น และรูปแบบบริการต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ และแอปสโตร์ ทั้งบนระบบปฏิบัติการ "ไอโอเอส" และ "แอนดรอยด์" เพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ นอกจากนี้ยังผลักดันให้โฆษณาบนสื่อเหล่านี้ได้รับความนิยมเพิ่ม
ด้าน นายเรืองโรจน์ พูนผล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายผลิตภัณฑ์ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ความง่ายของซอฟต์แวร์ และการเข้ามาสนับสนุนจากภาครัฐ และเอกชนมากขึ้น ทำให้การสร้างแอปพลิเคชั่น หรือบริการต่าง ๆ ง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดการรวมตัวของนักพัฒนาหน้าใหม่ หรือกลุ่มสตาร์ตอัพจำนวนมาก แต่ความง่ายทำให้การแข่งขันสูงเช่นกัน
นายเรืองโรจน์กล่าวว่า เทรนด์ในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นในปีนี้จะเป็นไปตามความเร็วอินเทอร์เน็ตจากการเกิดขึ้นของ 3G คลื่น 2.1 GHz เช่น แอปหรือบริการที่ใช้ฟังก์ชั่นสตรีมมิ่งได้, การดึงข่าวสารมาให้ผู้บริโภคอ่านผ่านอินเตอร์เฟสที่
เรียบง่าย รวมถึงการสร้างแอปที่ให้ดาวน์โหลดฟรี ถ้าต้องการสินค้าเพิ่มเติมจะมีค่าใช้จ่าย รูปแบบนี้คือ In-App Purchase ทำรายได้มากกว่า การขายแอป 4-5 เท่า โดยดีแทคพร้อมตอบโจทย์ผ่านการให้ฟังก์ชั่น Service Delivery Platform (SDP) ที่ช่วยให้การชำระเงินในแอปตัดจ่ายผ่านบิลค่าโทรศัพท์ได้ทันที
_____________________________________
ขุมทรัพย์ "ดิจิทัลคอนเทนต์"
ค่ายมือถือแห่ผุด "โปรเจ็กต์สตาร์ตอัพ"
อีกธุรกิจได้อานิสงส์จากการเปิดบริการ 3G
เต็มรูปแบบ หนีไม่พ้นสารพัด "ดิจิทัลคอนเทนต์"
ซึ่งมูลค่าตลาดที่ค่ายมือถือต่าง ๆ ประเมินกันแม้จะยังมีความแตกต่างกันบ้าง
แต่ก็ไม่หนีหลักหมื่นล้านบาท นับเป็นขุมทรัพย์ใหม่ที่ใหญ่โตมโหฬารไม่น้อย
จึงไม่น่าแปลกใจที่นักพัฒนาหน้าใหม่-เก่าโดดลงมาชิงเค้กกันอย่างคึกคัก
ดูอย่างตลาดโฆษณาดิจิทัลก็ได้ มีการคาดการณ์กันว่า ปี 2556
จะเติบโตกว่า 50% มีมูลค่าเฉียด 5,000
ล้านบาท
นายปรัธนา ลีลพนัง
รักษาการผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส ส่วนงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิทัล
บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) ระบุว่า
มูลค่าตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ปีนี้อาจสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท
โตขึ้นประมาณ 15% จากการเติบโตของสมาร์ทโฟน และการใช้งานระบบ 3G
โดยปัจจุบันการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หรือคอนเทนต์ต่าง ๆ
แทบจะเป็นการใช้งานผ่านสมาร์ทดีไวซ์ทั้งหมด
ทำให้เวลาในการใช้งานบนหน้าจอเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้น
จากเหตุผลดังกล่าวทำให้นักพัฒนาหน้าใหม่เริ่มคิดค้นแอปพลิเคชั่น
และรูปแบบบริการต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ และแอปสโตร์
ทั้งบนระบบปฏิบัติการ "ไอโอเอส" และ "แอนดรอยด์"
เพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ
นอกจากนี้ยังผลักดันให้โฆษณาบนสื่อเหล่านี้ได้รับความนิยมเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาแอปพลิเคชั่นควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะใช้งานบริการของตนให้ชัดเจน
ก่อนทำตลาดอย่างจริงจัง
รวมถึงควรสร้างความแตกต่างให้แอปพลิเคชั่นที่ตนเองสร้างขึ้นด้วย
เพราะถ้านำแอปพลิเคชั่นที่ได้รับความนิยมมาปรับให้เข้ากับประเทศไทย
โอกาสสำเร็จจะค่อนข้างยาก
เมื่อเร็ว ๆ นี้ เอไอเอสมีกิจกรรม "AIS
The StartUp Bootcamp" ซึ่งเป็นหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อกลุ่ม Startup
ดิจิทัล สำหรับทีมที่ผ่านการคัดเลือกจากกิจกรรม AIS The
StartUp Weekends จำนวน 5 ทีม
ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการก่อร่างสร้างธุรกิจรอบด้าน เป็นเวลา 3
เดือน ซึ่งโครงการ "AIS The StartUp Weekends" เป็นการจัดประกวดไอเดียในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นที่เอไอเอสจัดขึ้นเป็นปีที่
2
ด้าน นายเรืองโรจน์ พูนผล ผู้อำนวยการอาวุโส
ฝ่ายผลิตภัณฑ์ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค เปิดเผย
"ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ความง่ายของซอฟต์แวร์ และการเข้ามาสนับสนุนจากภาครัฐ
และเอกชนมากขึ้น ทำให้การสร้างแอปพลิเคชั่น หรือบริการต่าง ๆ ง่ายขึ้น
ส่งผลให้เกิดการรวมตัวของนักพัฒนาหน้าใหม่ หรือกลุ่มสตาร์ตอัพจำนวนมาก
แต่ความง่ายทำให้การแข่งขันสูงเช่นกัน
หากนับรวมบริการต่าง ๆ
ในโลกออนไลน์อาจมีมูลค่ามากกว่า 3 หมื่นล้านบาท มีทั้งการโฆษณาออนไลน์,
แอปพลิเคชั่น SOLOMO (Social, Location, Mobile), แอปพลิเคชั่นประเภทแชต
และบริการเสริมของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ถ้าเจาะไปที่ VAS หรือบริการเสริม
จะมีมูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านบาท
และกลุ่มสตาร์ตอัพเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดในพื้นที่นี้ด้วย
ด้วยการร่วมมือกับโอเปอเรเตอร์มือถือทุกราย เติบโตจากปีที่แล้ว 15-20%
จาก 13,000 ล้านบาท
"ผมมองว่าปีนี้เป็นโอกาสที่ดีของการเริ่มต้นสตาร์ตอัพ
เพราะทุกอย่างพร้อม และดีแทคมีการสนับสนุนสตาร์ตอัพผ่านการแข่งขัน dtac
Accelerate ที่เปิดโอกาสให้ผู้ชนะกว่า 20
ทีม ได้เจอนักลงทุน และเรียนรู้เรื่องแผนการตลาด
และการทำแอปพลิเคชั่นที่ตรงความต้องการผู้บริโภค"
นายเรืองโรจน์กล่าวว่า
เทรนด์ในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นในปีนี้จะเป็นไปตามความเร็วอินเทอร์เน็ตจากการเกิดขึ้นของ
3G คลื่น 2.1 GHz เช่น
แอปหรือบริการที่ใช้ฟังก์ชั่นสตรีมมิ่งได้, การดึงข่าวสารมาให้ผู้บริโภคอ่านผ่านอินเตอร์เฟสที่
เรียบง่าย รวมถึงการสร้างแอปที่ให้ดาวน์โหลดฟรี
ถ้าต้องการสินค้าเพิ่มเติมจะมีค่าใช้จ่าย รูปแบบนี้คือ In-App Purchase ทำรายได้มากกว่า
การขายแอป 4-5 เท่า โดยดีแทคพร้อมตอบโจทย์ผ่านการให้ฟังก์ชั่น
Service Delivery Platform (SDP) ที่ช่วยให้การชำระเงินในแอปตัดจ่ายผ่านบิลค่าโทรศัพท์ได้ทันที
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1366259443&grpid=00&catid=06&subcatid=0603
ไม่มีความคิดเห็น: