06 สิงหาคม 2556 (เกาะติดประมูลDigital TV) พสุ ศรีหิรัญ ชี้ หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือการมีผู้เล่นรายใหม่ ดังนั้น ราคาประมูลจึงไม่สำคัญ ขอเพียงมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้น
ประเด็นหลัก
เพิ่มทางเลือกใหม่
ฝั่ง "พสุ ศรีหิรัญ" รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการ และจัดการทรัพยากรกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช.กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือการมีผู้เล่นรายใหม่ ดังนั้น ราคาประมูลจึงไม่สำคัญ ขอเพียงมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้ได้รับใบอนุญาตยังต้องไม่ได้จ่ายแค่เงินประมูล แต่ยังมีค่าเช่าโครงข่ายด้วย
ขณะที่ "กฤษณัน งามผาติพงศ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีทีเอช กล่าวว่าทีวีดิจิทัลทำให้คนดูมีทางเลือก แต่ต้องดูระยะยาวด้วย
"ใครจะผลิตรายการ และรายการที่ผลิตจะดีจริงหรือไม่ หากมีช่องมากถึงขนาดนี้ ผู้ผลิตที่มีอยู่คงเนื้อหอม แต่จะผลิตทันได้อย่างไร คงต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก"
โอกาสทองผู้ผลิตคอนเทนต์
"อกนิษฐ์ มาโนษยวงศ์" ตัวแทนบริษัท สาระดี จำกัด ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ในเครือกันตนากล่าวว่า การผลิตคอนเทนต์แนวสารคดีที่มีประโยชน์ต่อผู้ชมยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ทำให้ต้องพึงรายได้จากค่าโฆษณาหรือขายทัวร์เสริมไปกับการจัดรายการเพื่อหาเงินผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และถ้าเรตติ้งน้อย โอกาสโดนถอนรายการก็มาก ซึ่งระบบเรตติ้งทำให้รายการทีวีมีเพียงเกมโชว์ แข่งขันร้องเพลง หรือละครแนวเดิม
"ทีวีดิจิทัลมีข้อดีตรงที่มีช่องเพิ่มขึ้น คอนเทนต์คุณภาพก็ยังอยู่ได้ แม้ไม่ตามกระแสก็ดึงโฆษณาได้ เช่น ซีรีส์ฮอร์โมน ค่าโฆษณานาทีละ 1,000-2,000 บาท ก็ยังอยู่ได้"
อีกหนึ่งผู้ผลิต "ปิยบุตร หล่อไกรเลิส" ผู้ผลิตสารคดีเรื่องเล่าจากเทศกาลทางช่องไทยพีบีเอส กล่าวว่า ช่องเพิ่มจากทีวีดิจิทัลเท่ากับเพิ่มโอกาส คาดว่าตลาดสำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์จะใหญ่ขึ้นแน่นอน รายใหม่ยังมีที่ยืนมากพอ
"โดยส่วนตัวมองว่า มีอีก 3 สิ่งที่ควรจะปลดล็อก ถ้าต้องการผู้ผลิตคอนเทนต์หน้าใหม่ ๆ คือ งบประมาณ กำลังคนและระยะเวลา ในบ้านเรายังมองผู้ผลิตคอนเทนต์เป็นเพียงโรงงานที่ต้องผลิตให้เร็ว ถูกและปริมาณมาก คุณภาพไม่สนใจ ต่างจากเมืองนอก"
"พิภพ พานิชภักดิ์" ผู้ผลิตรายการอิสระ จากสารคดีแม่โขง กล่าวว่า แม้การเปลี่ยนเป็นทีวีดิจิทัลจะดีต่อผู้ผลิตคอนเทนต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้อหาจะหลากหลายและเป็นประโยชน์ เพราะผู้ชนะประมูลยังเป็นผู้กำหนดทิศทาง และทุนใหญ่มักมาพร้อมเงื่อนไขต่าง ๆ กสทช. จึงควรหาทางประสานให้ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องอาศัยทุนที่มีเงื่อนไข
กระทุ้ง กสทช. เร่งเคลียร์
"อดิศักดิ์" กล่าวว่า สิ่งที่ กสทช.ต้องเตรียมเพื่อการเปลี่ยนผ่านมีหลายเรื่อง ได้แก่ เรื่อง Set-Top-Box ยังไม่มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรับชมอย่างทั่วถึง ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าต้องซื้อทีวีใหม่หรือไม่ จะทำอย่างไรจึงจะรับชมได้ ส่งผลให้ยอดขายทีวีในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาตก เพราะเกิดการชะลอซื้อ อีกทั้งอยากให้มีมาตรฐานเรื่องการวัดเรตติ้งใหม่ เนื่องจากรายใหม่ ๆ มีปัญหามาก ไม่สามารถไปเสนอราคากับเอเยนซี่โฆษณาได้ว่ามีคนดูเท่าไร
นอกจากนี้ ยังต้องการขอความชัดเจนเกี่ยวกับการออกอากาศคู่ขนานว่า สรุปแล้วฟรีทีวีทุกช่องจะได้ออกอากาศคู่ขนานหรือไม่ กำหนดเวลาคืนคลื่นกี่ปี เวลานี้มีแค่ช่อง 5 ช่อง 11 และไทย พีบีเอส ที่มีกำหนดเวลา ส่วนช่อง 3 ช่อง 7 และช่อง 9 ยังไม่ชัดเจน
"เรื่องโครงข่ายเหมือน กสท.คุยกับผู้ได้รับใบอนุญาตให้บริการโครงข่ายแค่ 2 ฝั่ง แต่ผู้ใช้โครงข่ายยังไม่มีโอกาสได้คุย ทั้งเรื่องค่าเช่าและพื้นที่แพร่สัญญาณว่าจะครอบคลุมจุดใดบ้าง เพราะเชื่อว่าไม่มีทางที่ภายใน 4-5 ปีจะครอบคลุมกว่า 95% สุดท้ายคือการทดลองออกอากาศอยากให้มีการทดลองในวงกว้างกว่านี้ เพราะเท่าที่ได้ยินที่ช่อง 5 ทดลองที่ตึกใบหยกคนอยู่ใกล้ ๆ ตึกใบหยกดูไม่ได้ แต่อยู่ไกล ๆ เช่น จ.สระบุรีดูได้ เป็นต้น"
______________________________________
เมื่อ กสทช. เปิดสวิตช์ "ดิจิทัลทีวี" โอกาส-วิกฤตและความท้าทาย
อุตสาหกรรมโทรทัศน์ไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคแอนะล็อกภายใต้ระบบสัมปทานไปสู่ยุค "ทีวีดิจิทัล" ที่จะต้องมีการประมูลใบอนุญาตในอีกไม่กี่เดือนนี้ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างต่อจากนี้
ราคาประมูลถูกหรือแพง
"สมชาย แสวงการ" สมาชิกวุฒิสภากล่าวว่า กสทช. ตั้งราคาเริ่มต้นประมูลทีวีดิจิทัลประเภทธุรกิจ ถูกเกินไป (ช่องวาไรตี้ความละเอียดมาตรฐาน (SD) เริ่มต้นที่ช่องละ 380 ล้านบาท ช่องข่าวสาระเริ่มต้น 220 ล้านบาท/ช่อง ช่องรายการเด็กและเยาวชน เริ่มต้นที่ 140 ล้านบาท/ช่อง เป็นต้น) แม้จะมีการอ้างข้อมูลวิจัยของคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่เฉลี่ยแล้วผู้ชนะการประมูลจ่ายค่าเช่าเพียง 100 ล้านบาท/ปี แต่รายได้ไหลเข้าไม่ต่ำกว่าปีละ 6-7 พันล้านบาท และไม่คิดว่าการประมูลนี้จะเกิดการแข่งขันที่แท้จริง เห็นได้จากการประมูล 3G ที่จบด้วยราคาสูงกว่าตั้งต้นเล็กน้อยเท่านั้น
ฟาก "อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒกิจ" กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. เนชั่น บรอดแคสติ้ง
คอร์ปอเรชั่น มองว่า ราคาเริ่มต้นประมูลแพงเกินไป หากเทียบกับประเทศที่มีการเปลี่ยนผ่าน เช่น ฝรั่งเศส ช่วง 1-3 ปีแรกขาดทุนเกือบหมด ยกเว้นรายเก่า ส่วนปีที่ 3-4 กำไรบ้าง แต่มีเพียง 1-2 ราย ส่วนปีที่ 5 เป็นปีที่ชี้วัดว่าใครจะอยู่ใครจะไป คาดว่าในไทยอีก 3 ปีคงเหลือเพียง 10 รายเท่านั้น
"ข้อดีของทีวีดิจิทัล คือ กำจัดช่วงเวลาไพรมไทม์ เพราะเมื่อช่องเพิ่มขึ้น แต่ละช่องจะนำเสนอเนื้อหาแตกต่างกัน ช่วงเวลาไพรมไทม์จึงไม่ตรงกัน เป็นผลดีกับแวดวงโฆษณาไทยช่วยสร้างเม็ดเงินโฆษณามากขึ้น"
เพิ่มทางเลือกใหม่
ฝั่ง "พสุ ศรีหิรัญ" รักษาการผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการ และจัดการทรัพยากรกระจายเสียงและโทรทัศน์ สำนักงาน กสทช.กล่าวว่า หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่าน คือการมีผู้เล่นรายใหม่ ดังนั้น ราคาประมูลจึงไม่สำคัญ ขอเพียงมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันผู้ได้รับใบอนุญาตยังต้องไม่ได้จ่ายแค่เงินประมูล แต่ยังมีค่าเช่าโครงข่ายด้วย
ขณะที่ "กฤษณัน งามผาติพงศ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีทีเอช กล่าวว่าทีวีดิจิทัลทำให้คนดูมีทางเลือก แต่ต้องดูระยะยาวด้วย
"ใครจะผลิตรายการ และรายการที่ผลิตจะดีจริงหรือไม่ หากมีช่องมากถึงขนาดนี้ ผู้ผลิตที่มีอยู่คงเนื้อหอม แต่จะผลิตทันได้อย่างไร คงต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก"
โอกาสทองผู้ผลิตคอนเทนต์
"อกนิษฐ์ มาโนษยวงศ์" ตัวแทนบริษัท สาระดี จำกัด ผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ในเครือกันตนากล่าวว่า การผลิตคอนเทนต์แนวสารคดีที่มีประโยชน์ต่อผู้ชมยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ทำให้ต้องพึงรายได้จากค่าโฆษณาหรือขายทัวร์เสริมไปกับการจัดรายการเพื่อหาเงินผลิตคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และถ้าเรตติ้งน้อย โอกาสโดนถอนรายการก็มาก ซึ่งระบบเรตติ้งทำให้รายการทีวีมีเพียงเกมโชว์ แข่งขันร้องเพลง หรือละครแนวเดิม
"ทีวีดิจิทัลมีข้อดีตรงที่มีช่องเพิ่มขึ้น คอนเทนต์คุณภาพก็ยังอยู่ได้ แม้ไม่ตามกระแสก็ดึงโฆษณาได้ เช่น ซีรีส์ฮอร์โมน ค่าโฆษณานาทีละ 1,000-2,000 บาท ก็ยังอยู่ได้"
อีกหนึ่งผู้ผลิต "ปิยบุตร หล่อไกรเลิส" ผู้ผลิตสารคดีเรื่องเล่าจากเทศกาลทางช่องไทยพีบีเอส กล่าวว่า ช่องเพิ่มจากทีวีดิจิทัลเท่ากับเพิ่มโอกาส คาดว่าตลาดสำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์จะใหญ่ขึ้นแน่นอน รายใหม่ยังมีที่ยืนมากพอ
"โดยส่วนตัวมองว่า มีอีก 3 สิ่งที่ควรจะปลดล็อก ถ้าต้องการผู้ผลิตคอนเทนต์หน้าใหม่ ๆ คือ งบประมาณ กำลังคนและระยะเวลา ในบ้านเรายังมองผู้ผลิตคอนเทนต์เป็นเพียงโรงงานที่ต้องผลิตให้เร็ว ถูกและปริมาณมาก คุณภาพไม่สนใจ ต่างจากเมืองนอก"
"พิภพ พานิชภักดิ์" ผู้ผลิตรายการอิสระ จากสารคดีแม่โขง กล่าวว่า แม้การเปลี่ยนเป็นทีวีดิจิทัลจะดีต่อผู้ผลิตคอนเทนต์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเนื้อหาจะหลากหลายและเป็นประโยชน์ เพราะผู้ชนะประมูลยังเป็นผู้กำหนดทิศทาง และทุนใหญ่มักมาพร้อมเงื่อนไขต่าง ๆ กสทช. จึงควรหาทางประสานให้ผู้ผลิตไม่จำเป็นต้องอาศัยทุนที่มีเงื่อนไข
ธุรกิจเกี่ยวเนื่องบูม
"ยุพาพักตร์ ตะวันนา" ผู้จัดการทั่วไป ประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท วิซอาร์ที ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการดิจิทัลมีเดียโซลูชั่น กล่าวว่า ประเทศแถบเอเชีย-แปซิฟิกอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นกัน จึงเป็นโอกาสทองของผู้เกี่ยวข้อง อาทิ ขายซอฟต์แวร์เกี่ยวกับการทำกราฟิก 3 มิติ และให้คำแนะนำเรื่องการทำกราฟิกประกอบรายการกับสถานีโทรทัศน์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน
"ประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์" ประธาน บมจ. แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย ผู้ให้บริการวางระบบโครงข่ายกล่าวว่า กำลังผลิต Set-Top-Box ภายใต้แบรนด์แพลนเน็ต ใช้โรงงานในไทยเป็นฐานผลิต ต่างจากบางรายที่ผลิตในจีน โดยขณะนี้รอเพียงการออกใบอนุญาตจาก กสทช. คาดว่าจะวางจำหน่ายได้กลางเดือน ส.ค.นี้ ราคา 1,500 บาท หากมีทีวีดิจิทัลในแง่ผู้ชมคงสลับกันดู ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียม, เคเบิล และทีวีดิจิทัล เพราะช่องเคเบิลและดาวเทียมอาจมีช่องหลากหลาย แต่คุณภาพและการคุมโฆษณามีไม่เท่าฟรีทีวี"
กระทุ้ง กสทช. เร่งเคลียร์
"อดิศักดิ์" กล่าวว่า สิ่งที่ กสทช.ต้องเตรียมเพื่อการเปลี่ยนผ่านมีหลายเรื่อง ได้แก่ เรื่อง Set-Top-Box ยังไม่มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรับชมอย่างทั่วถึง ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าต้องซื้อทีวีใหม่หรือไม่ จะทำอย่างไรจึงจะรับชมได้ ส่งผลให้ยอดขายทีวีในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาตก เพราะเกิดการชะลอซื้อ อีกทั้งอยากให้มีมาตรฐานเรื่องการวัดเรตติ้งใหม่ เนื่องจากรายใหม่ ๆ มีปัญหามาก ไม่สามารถไปเสนอราคากับเอเยนซี่โฆษณาได้ว่ามีคนดูเท่าไร
นอกจากนี้ ยังต้องการขอความชัดเจนเกี่ยวกับการออกอากาศคู่ขนานว่า สรุปแล้วฟรีทีวีทุกช่องจะได้ออกอากาศคู่ขนานหรือไม่ กำหนดเวลาคืนคลื่นกี่ปี เวลานี้มีแค่ช่อง 5 ช่อง 11 และไทย พีบีเอส ที่มีกำหนดเวลา ส่วนช่อง 3 ช่อง 7 และช่อง 9 ยังไม่ชัดเจน
"เรื่องโครงข่ายเหมือน กสท.คุยกับผู้ได้รับใบอนุญาตให้บริการโครงข่ายแค่ 2 ฝั่ง แต่ผู้ใช้โครงข่ายยังไม่มีโอกาสได้คุย ทั้งเรื่องค่าเช่าและพื้นที่แพร่สัญญาณว่าจะครอบคลุมจุดใดบ้าง เพราะเชื่อว่าไม่มีทางที่ภายใน 4-5 ปีจะครอบคลุมกว่า 95% สุดท้ายคือการทดลองออกอากาศอยากให้มีการทดลองในวงกว้างกว่านี้ เพราะเท่าที่ได้ยินที่ช่อง 5 ทดลองที่ตึกใบหยกคนอยู่ใกล้ ๆ ตึกใบหยกดูไม่ได้ แต่อยู่ไกล ๆ เช่น จ.สระบุรีดูได้ เป็นต้น"
http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1375706813
ไม่มีความคิดเห็น: