07 พฤศจิกายน 2558 2558 หัวเว่ยประเทศไทยคาดว่ารายได้ในส่วนโมบายจะโตจากปีที่แล้วประมาณ 107 % โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 2% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 % ภายใน 3ปี
ประเด็นหลัก
หัวเว่ยขอ 3 ปีชิงแชร์สมาร์ทโฟน 15%(Cyber Weekend)
หัวเว่ยมองโอกาสเติบโตในตลาดประเทศไทยได้อีกมาก ทุ่มงบการตลาดกว่า 600 ล้านบาท ปรับกระบวนทัพ รุก รับ ตลาดสมาร์ทโฟน หวังเพิ่มส่วนแบ่งจากแค่ 2% เป็น 15% ในอีก 3 ปีหน้า ด้วย 4 ยุทธศาสตร์สำคัญทั้งเรื่องแบรนด์ การตลาด บริการหลังการขายและโปรดักส์ที่โดนใจ รุกเปิดชอปพื้นที่สำคัญอย่างเชียงใหม่ พร้อมแผนเปิดเพิ่มอีกหลายแห่ง รองรับยอดขายและบริการที่คาดว่าจะเติบโตอีกหลายเท่าตัว
เรียกได้ว่าปี 2558 เป็นปีของหัวเว่ยก็ไม่ผิดนัก เพราะเป็นปีที่เห็นการรุกตลาดอย่างจริงจังของหัวเว่ยในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเน็ตเวิร์ก โซลูชัน สตอเรจ คลาวด์ รวมทั้งโมบายดีไวซ์ ที่หัวเว่ยเปิดตัวได้ไม่แพ้อินเทอร์แบรนด์ระดับโลก อีกทั้งมีการส่งโปรดักส์ลงตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ในส่วนสมาร์ทโฟนปี 58 ของหัวเว่ยในประเทศไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 107% จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ทโฟนไทย 2 % แต่มั่นใจว่าจะเพิ่มเป็น 15% ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ล่าสุดหัวเว่ยเปิดตัวแบรนด์ชอปสาขาเชียงใหม่ นับเป็นแบรนด์ชอปแห่งที่ 5 หลังจากเปิดแล้วที่ สยามพารากอน ,นครศรีธรรมราช ,เซ็นทรัล เวสต์เกต์ และอุบลราชธานี เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้นจากการเปิดตัวโปรดักส์รุ่นใหม่ๆ โดยคาดว่าภายในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่งที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ และ ขอนแก่น รวมเป็น 7 แห่งภายในปีนี้ และหากทางห้างสร้างเสร็จทันก็จะมีที่เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ อีกแห่งหนึ่ง เป็นแห่งที่ 8 ซึ่งอาจเป็นปีหน้า
ไมเคิล จิ่ง ผู้อำนวยการกลุ่มคอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เชียงใหม่เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ มีการขยายตัวทางการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนอย่างมากเป็นรองแค่กรุงเทพฯ ส่งผลให้มีการใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้ตรงตามกลยุทธ์ของหัวเว่ยที่ต้องการให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ในแบบ Make it Possible สัมผัสตัวสินค้าจริงๆ หัวเว่ยจึงเปิดแบรนด์ชอปสาขาเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานภาคเหนือได้รู้จักแบรนด์หัวเว่ยมากขึ้น
ความพิเศษของการเปิดตัวหัวเว่ยแบรนด์ชอปครั้งนี้ นอกจากจะมีสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต อุปรกรณ์สวมใส่อัจฉริยะทุกระดับราคาแล้ว ยังจะมีการเปิดให้ลูกค้าสั่งจองสมาร์ทโฟน หัวเว่ย G7 Plusที่เพิ่งเปิดตัวในงาน Thailand Mobile Expo 2015 พร้อมโชว์ Huawei Watch นาฬิกาสวมใส่อัจฉริยะ ที่เตรียมทำตลาดเร็วๆนี้อีกด้วย
หัวเว่ยขอ 3 ปีชิงแชร์สมาร์ทโฟน 15%(Cyber Weekend)
ที่ผ่านมาหัวเว่ยมีชอป 3 แบบ คือ แบบแรกอย่างที่อยู่ในเจมาร์ท แบบที่สอง ชอปอินชอป เป็นบูทหัวเว่ย และแบบที่สาม คือ แบรนด์ชอป ที่เน้นเป็นร้านขายสินค้าของหัวเว่ย โดยในอนาคตอันใกล้จะพัฒนาเป็นศูนย์บริการหลังการขายที่จะซ่อมสินค้าได้ภายในปีหน้าที่เชียงใหม่ (เซอร์วิส แบรนด์ ชอป) แต่จะเพิ่มในกรุงเทพฯก่อนภายในปีนี้
ในปี 2558 หัวเว่ยประเทศไทยคาดว่ารายได้ในส่วนโมบายจะโตจากปีที่แล้วประมาณ 107 % โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 2% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 % ภายใน 3ปี
' ปีนี้เราคาดว่าจะทำตลาดในประเทศไทยได้ประมาณ 4 แสนเครื่อง และเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวในปีหน้า ส่วนยอดขายทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในด้านจำนวนเครื่อง'
ผู้บริหารหัวเว่ย กล่าวว่า สถานการณ์ การแข่งขันในตลาดทั้งไทยและทั่วโลกจะรุนแรงขึ้นมาก แต่โชคดีที่หัวเว่ยเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง บางแบรนด์จะหายไปจากตลาดในระยะเวลาอันใกล้ จากตัวเลข GFK ในตลาดสมาร์ทโฟน หัวเว่ยเป็นแบรนด์อันดับ 3 รองจาก ซัมซุง และแอปเปิล หากมองในตลาดแอนดรอยด์ เพียงอย่างเดียว หัวเว่ยเป็นแบรนด์อันดับ 2 รองแค่ซัมซุงแบรนด์เดียว ปัจจุบันหัวเว่ยมียอดขายทั่วโลกประมาณ 100 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 110 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี โดยหัวเว่ยเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่ทำได้ตามเป้าหมาย
ไมเคิล จิ่ง กล่าวว่าเป้าหมายการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดไทยให้ได้ถึง 15% นั้น หัวเว่ยต้องให้ความสำคัญกับ 1. ให้ความสำคัญกับเรื่อง แบรนด์ดิ้ง และมาร์เก็ตติ้ง 2.พัฒนาด้านรีเทล ลูกค้าจะต้องเห็นแบรนด์หัวเว่ยทุกที่ทุกห้างสรรพสินค้า ในจุดที่น่าสนใจไม่ใช้แค่มุมเล็กๆเท่านั้น 3. บริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้มีความมั่นใจในแบรนด์หัวเว่ยมากที่สุด และ4.พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดซึ่งเป็นความมั่นใจของหัวเว่ยอย่างมาก อย่าง หัวเว่ย G7 Plusเป็นโปรดักส์ที่ดีที่สุดในเซ็กเมนท์ นี้
'หัวเว่ยไม่ต้องการแค่ให้ผู้ใช้ยอมรับในแบรนด์หัวเว่ยว่าเป็นผู้นำของแบรนด์จีน แต่เราต้องการเป็นผู้ในระดับ Global ที่ผ่านมาหัวเว่ยขายดีทั้งในตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง เราไม่เหมือนผู้เล่นรายอื่นที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ประเทศเดียวหรือเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น แต่เราทำตลาดทั่วโลก'
ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะมี 4G ผู้บริหารหัวเว่ยกล่าวว่า หัวเว่ยเป็นผู้นำในธุรกิจโทรคมนาคมอยู่แล้ว มีความพร้อมอย่างมาก โปรดักส์ของหัวเว่ยรองรับ 4G เกือบทุกรุ่น โดยในส่วนหัวเว่ยไม่มีความกังวลเรื่องนี้เลยทันที่มี 4G ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จะเกิดการกระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟนอย่างมาก เพราะทิศทางตลาดเป็นไปตามนั้น โดยจะมีโปรดักส์เปิดตัวรองรับตลาด 4G
ทั้งนี้ในปี 2558 หัวเว่ยมีการใช้งบการตลาดประมาณ 600 ล้านบาทและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามการแข่งขันของตลาดในแต่ละปี
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9580000118436&utm_source=MadMimi&utm_medium=email&utm_content=Manager+Morning+Brief+26-10-58&utm_campaign=20151025_m127945569_Manager+Morning+Brief+26-10-58&utm_term=Cyber+Weekend+_3A+_E0_B8_AB_E0_B8_B1_E0_B8_A7_E0_B9_80_E0_B8_A7_E0_B9_88_E0_B8_A2_E0_B8_82_E0_B8_AD+3+_E0_B8_9B_E0_B8_B5_E0_B8_8A_E0_B8_B4_E0_B8_87_E0_B9_81_E0_B8_8A_E0_B8_A3_E0_B9_8C_E0_B8_AA_E0_B8_A1_E0_B8_B2_E0_B8_A3_E0_B9_8C_E0_B8_97_E0_B9_82_E0_B8_9F
ที่ผ่านมาหัวเว่ยมีชอป 3 แบบ คือ แบบแรกอย่างที่อยู่ในเจมาร์ท แบบที่สอง ชอปอินชอป เป็นบูทหัวเว่ย และแบบที่สาม คือ แบรนด์ชอป ที่เน้นเป็นร้านขายสินค้าของหัวเว่ย โดยในอนาคตอันใกล้จะพัฒนาเป็นศูนย์บริการหลังการขายที่จะซ่อมสินค้าได้ภายในปีหน้าที่เชียงใหม่ (เซอร์วิส แบรนด์ ชอป) แต่จะเพิ่มในกรุงเทพฯก่อนภายในปีนี้
ในปี 2558 หัวเว่ยประเทศไทยคาดว่ารายได้ในส่วนโมบายจะโตจากปีที่แล้วประมาณ 107 % โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 2% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 % ภายใน 3ปี
' ปีนี้เราคาดว่าจะทำตลาดในประเทศไทยได้ประมาณ 4 แสนเครื่อง และเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวในปีหน้า ส่วนยอดขายทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในด้านจำนวนเครื่อง'
ผู้บริหารหัวเว่ย กล่าวว่า สถานการณ์ การแข่งขันในตลาดทั้งไทยและทั่วโลกจะรุนแรงขึ้นมาก แต่โชคดีที่หัวเว่ยเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง บางแบรนด์จะหายไปจากตลาดในระยะเวลาอันใกล้ จากตัวเลข GFK ในตลาดสมาร์ทโฟน หัวเว่ยเป็นแบรนด์อันดับ 3 รองจาก ซัมซุง และแอปเปิล หากมองในตลาดแอนดรอยด์ เพียงอย่างเดียว หัวเว่ยเป็นแบรนด์อันดับ 2 รองแค่ซัมซุงแบรนด์เดียว ปัจจุบันหัวเว่ยมียอดขายทั่วโลกประมาณ 100 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 110 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี โดยหัวเว่ยเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่ทำได้ตามเป้าหมาย
ไมเคิล จิ่ง กล่าวว่าเป้าหมายการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดไทยให้ได้ถึง 15% นั้น หัวเว่ยต้องให้ความสำคัญกับ 1. ให้ความสำคัญกับเรื่อง แบรนด์ดิ้ง และมาร์เก็ตติ้ง 2.พัฒนาด้านรีเทล ลูกค้าจะต้องเห็นแบรนด์หัวเว่ยทุกที่ทุกห้างสรรพสินค้า ในจุดที่น่าสนใจไม่ใช้แค่มุมเล็กๆเท่านั้น 3. บริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้มีความมั่นใจในแบรนด์หัวเว่ยมากที่สุด และ4.พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดซึ่งเป็นความมั่นใจของหัวเว่ยอย่างมาก อย่าง หัวเว่ย G7 Plusเป็นโปรดักส์ที่ดีที่สุดในเซ็กเมนท์ นี้
ในปี 2558 หัวเว่ยประเทศไทยคาดว่ารายได้ในส่วนโมบายจะโตจากปีที่แล้วประมาณ 107 % โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 2% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 % ภายใน 3ปี
' ปีนี้เราคาดว่าจะทำตลาดในประเทศไทยได้ประมาณ 4 แสนเครื่อง และเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวในปีหน้า ส่วนยอดขายทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในด้านจำนวนเครื่อง'
ผู้บริหารหัวเว่ย กล่าวว่า สถานการณ์ การแข่งขันในตลาดทั้งไทยและทั่วโลกจะรุนแรงขึ้นมาก แต่โชคดีที่หัวเว่ยเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง บางแบรนด์จะหายไปจากตลาดในระยะเวลาอันใกล้ จากตัวเลข GFK ในตลาดสมาร์ทโฟน หัวเว่ยเป็นแบรนด์อันดับ 3 รองจาก ซัมซุง และแอปเปิล หากมองในตลาดแอนดรอยด์ เพียงอย่างเดียว หัวเว่ยเป็นแบรนด์อันดับ 2 รองแค่ซัมซุงแบรนด์เดียว ปัจจุบันหัวเว่ยมียอดขายทั่วโลกประมาณ 100 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 110 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี โดยหัวเว่ยเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่ทำได้ตามเป้าหมาย
ไมเคิล จิ่ง กล่าวว่าเป้าหมายการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดไทยให้ได้ถึง 15% นั้น หัวเว่ยต้องให้ความสำคัญกับ 1. ให้ความสำคัญกับเรื่อง แบรนด์ดิ้ง และมาร์เก็ตติ้ง 2.พัฒนาด้านรีเทล ลูกค้าจะต้องเห็นแบรนด์หัวเว่ยทุกที่ทุกห้างสรรพสินค้า ในจุดที่น่าสนใจไม่ใช้แค่มุมเล็กๆเท่านั้น 3. บริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้มีความมั่นใจในแบรนด์หัวเว่ยมากที่สุด และ4.พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดซึ่งเป็นความมั่นใจของหัวเว่ยอย่างมาก อย่าง หัวเว่ย G7 Plusเป็นโปรดักส์ที่ดีที่สุดในเซ็กเมนท์ นี้
______________________________
หัวเว่ยมองโอกาสเติบโตในตลาดประเทศไทยได้อีกมาก ทุ่มงบการตลาดกว่า 600 ล้านบาท ปรับกระบวนทัพ รุก รับ ตลาดสมาร์ทโฟน หวังเพิ่มส่วนแบ่งจากแค่ 2% เป็น 15% ในอีก 3 ปีหน้า ด้วย 4 ยุทธศาสตร์สำคัญทั้งเรื่องแบรนด์ การตลาด บริการหลังการขายและโปรดักส์ที่โดนใจ รุกเปิดชอปพื้นที่สำคัญอย่างเชียงใหม่ พร้อมแผนเปิดเพิ่มอีกหลายแห่ง รองรับยอดขายและบริการที่คาดว่าจะเติบโตอีกหลายเท่าตัว
เรียกได้ว่าปี 2558 เป็นปีของหัวเว่ยก็ไม่ผิดนัก เพราะเป็นปีที่เห็นการรุกตลาดอย่างจริงจังของหัวเว่ยในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเน็ตเวิร์ก โซลูชัน สตอเรจ คลาวด์ รวมทั้งโมบายดีไวซ์ ที่หัวเว่ยเปิดตัวได้ไม่แพ้อินเทอร์แบรนด์ระดับโลก อีกทั้งมีการส่งโปรดักส์ลงตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้ในส่วนสมาร์ทโฟนปี 58 ของหัวเว่ยในประเทศไทยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 107% จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ทโฟนไทย 2 % แต่มั่นใจว่าจะเพิ่มเป็น 15% ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ล่าสุดหัวเว่ยเปิดตัวแบรนด์ชอปสาขาเชียงใหม่ นับเป็นแบรนด์ชอปแห่งที่ 5 หลังจากเปิดแล้วที่ สยามพารากอน ,นครศรีธรรมราช ,เซ็นทรัล เวสต์เกต์ และอุบลราชธานี เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่เพิ่มมากขึ้นจากการเปิดตัวโปรดักส์รุ่นใหม่ๆ โดยคาดว่าภายในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่งที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ และ ขอนแก่น รวมเป็น 7 แห่งภายในปีนี้ และหากทางห้างสร้างเสร็จทันก็จะมีที่เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ อีกแห่งหนึ่ง เป็นแห่งที่ 8 ซึ่งอาจเป็นปีหน้า
ไมเคิล จิ่ง ผู้อำนวยการกลุ่มคอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประจำประเทศไทย กล่าวว่า เชียงใหม่เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคเหนือ มีการขยายตัวทางการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนอย่างมากเป็นรองแค่กรุงเทพฯ ส่งผลให้มีการใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้ตรงตามกลยุทธ์ของหัวเว่ยที่ต้องการให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ในแบบ Make it Possible สัมผัสตัวสินค้าจริงๆ หัวเว่ยจึงเปิดแบรนด์ชอปสาขาเซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานภาคเหนือได้รู้จักแบรนด์หัวเว่ยมากขึ้น
ความพิเศษของการเปิดตัวหัวเว่ยแบรนด์ชอปครั้งนี้ นอกจากจะมีสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต อุปรกรณ์สวมใส่อัจฉริยะทุกระดับราคาแล้ว ยังจะมีการเปิดให้ลูกค้าสั่งจองสมาร์ทโฟน หัวเว่ย G7 Plusที่เพิ่งเปิดตัวในงาน Thailand Mobile Expo 2015 พร้อมโชว์ Huawei Watch นาฬิกาสวมใส่อัจฉริยะ ที่เตรียมทำตลาดเร็วๆนี้อีกด้วย
หัวเว่ยขอ 3 ปีชิงแชร์สมาร์ทโฟน 15%(Cyber Weekend)
ที่ผ่านมาหัวเว่ยมีชอป 3 แบบ คือ แบบแรกอย่างที่อยู่ในเจมาร์ท แบบที่สอง ชอปอินชอป เป็นบูทหัวเว่ย และแบบที่สาม คือ แบรนด์ชอป ที่เน้นเป็นร้านขายสินค้าของหัวเว่ย โดยในอนาคตอันใกล้จะพัฒนาเป็นศูนย์บริการหลังการขายที่จะซ่อมสินค้าได้ภายในปีหน้าที่เชียงใหม่ (เซอร์วิส แบรนด์ ชอป) แต่จะเพิ่มในกรุงเทพฯก่อนภายในปีนี้
ในปี 2558 หัวเว่ยประเทศไทยคาดว่ารายได้ในส่วนโมบายจะโตจากปีที่แล้วประมาณ 107 % โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 2% และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15 % ภายใน 3ปี
' ปีนี้เราคาดว่าจะทำตลาดในประเทศไทยได้ประมาณ 4 แสนเครื่อง และเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวในปีหน้า ส่วนยอดขายทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในด้านจำนวนเครื่อง'
ผู้บริหารหัวเว่ย กล่าวว่า สถานการณ์ การแข่งขันในตลาดทั้งไทยและทั่วโลกจะรุนแรงขึ้นมาก แต่โชคดีที่หัวเว่ยเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง บางแบรนด์จะหายไปจากตลาดในระยะเวลาอันใกล้ จากตัวเลข GFK ในตลาดสมาร์ทโฟน หัวเว่ยเป็นแบรนด์อันดับ 3 รองจาก ซัมซุง และแอปเปิล หากมองในตลาดแอนดรอยด์ เพียงอย่างเดียว หัวเว่ยเป็นแบรนด์อันดับ 2 รองแค่ซัมซุงแบรนด์เดียว ปัจจุบันหัวเว่ยมียอดขายทั่วโลกประมาณ 100 ล้านเครื่อง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 110 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี โดยหัวเว่ยเป็นแบรนด์เดียวในโลกที่ทำได้ตามเป้าหมาย
ไมเคิล จิ่ง กล่าวว่าเป้าหมายการเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดไทยให้ได้ถึง 15% นั้น หัวเว่ยต้องให้ความสำคัญกับ 1. ให้ความสำคัญกับเรื่อง แบรนด์ดิ้ง และมาร์เก็ตติ้ง 2.พัฒนาด้านรีเทล ลูกค้าจะต้องเห็นแบรนด์หัวเว่ยทุกที่ทุกห้างสรรพสินค้า ในจุดที่น่าสนใจไม่ใช้แค่มุมเล็กๆเท่านั้น 3. บริการหลังการขายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้ใช้มีความมั่นใจในแบรนด์หัวเว่ยมากที่สุด และ4.พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดซึ่งเป็นความมั่นใจของหัวเว่ยอย่างมาก อย่าง หัวเว่ย G7 Plusเป็นโปรดักส์ที่ดีที่สุดในเซ็กเมนท์ นี้
'หัวเว่ยไม่ต้องการแค่ให้ผู้ใช้ยอมรับในแบรนด์หัวเว่ยว่าเป็นผู้นำของแบรนด์จีน แต่เราต้องการเป็นผู้ในระดับ Global ที่ผ่านมาหัวเว่ยขายดีทั้งในตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง เราไม่เหมือนผู้เล่นรายอื่นที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ประเทศเดียวหรือเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น แต่เราทำตลาดทั่วโลก'
ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะมี 4G ผู้บริหารหัวเว่ยกล่าวว่า หัวเว่ยเป็นผู้นำในธุรกิจโทรคมนาคมอยู่แล้ว มีความพร้อมอย่างมาก โปรดักส์ของหัวเว่ยรองรับ 4G เกือบทุกรุ่น โดยในส่วนหัวเว่ยไม่มีความกังวลเรื่องนี้เลยทันที่มี 4G ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จะเกิดการกระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟนอย่างมาก เพราะทิศทางตลาดเป็นไปตามนั้น โดยจะมีโปรดักส์เปิดตัวรองรับตลาด 4G
ทั้งนี้ในปี 2558 หัวเว่ยมีการใช้งบการตลาดประมาณ 600 ล้านบาทและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามการแข่งขันของตลาดในแต่ละปี
http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9580000118436&utm_source=MadMimi&utm_medium=email&utm_content=Manager+Morning+Brief+26-10-58&utm_campaign=20151025_m127945569_Manager+Morning+Brief+26-10-58&utm_term=Cyber+Weekend+_3A+_E0_B8_AB_E0_B8_B1_E0_B8_A7_E0_B9_80_E0_B8_A7_E0_B9_88_E0_B8_A2_E0_B8_82_E0_B8_AD+3+_E0_B8_9B_E0_B8_B5_E0_B8_8A_E0_B8_B4_E0_B8_87_E0_B9_81_E0_B8_8A_E0_B8_A3_E0_B9_8C_E0_B8_AA_E0_B8_A1_E0_B8_B2_E0_B8_A3_E0_B9_8C_E0_B8_97_E0_B9_82_E0_B8_9F
ไม่มีความคิดเห็น: